ความหรูหราเตรียมแลกด้วยราคาที่แพงขึ้น เมื่อแบรนด์ไฮเอนด์ระดับตำนานอย่าง Hermès ประกาศปรับขึ้นราคาสินค้า 10% ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมเป็นต้นไป เพื่อรับมือกับพิษภาษีนำเข้าจากนโยบายของประธานาธิบดี Donald Trump
Eric du Halgouët รองประธานบริหารฝ่ายการเงินของ Hermès เปิดเผยในการประชุมนักวิเคราะห์ว่า การปรับขึ้นราคาครั้งนี้จะจำกัดเฉพาะตลาดอเมริกาเท่านั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อชดเชยผลกระทบจากภาษีนำเข้า 10% ที่ทำเนียบขาวประกาศใช้ต้นเดือนเมษายน ขณะที่ราคาในภูมิภาคอื่นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
บริษัทผู้ผลิตกระเป๋า Birkin และ Kelly อันเลื่องชื่อ ซึ่งเพิ่งก้าวขึ้นแซงหน้าคู่แข่งอย่าง LVMH กลายเป็นบริษัทสินค้าหรูที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกเมื่อต้นสัปดาห์นี้ กำลังเผชิญกับความท้าทายเดียวกับแบรนด์ยุโรปอื่นๆ ที่ต้องปรับตัวรับมาตรการกีดกันทางการค้าจากรัฐบาล Trump
แม้ยอดขายในตลาดอเมริกาของ Hermès จะเติบโตขึ้น 11% ในไตรมาสแรก แต่ภาพรวมทั่วโลกกลับชะลอตัวลงเหลือเพียง 7% เมื่อเทียบกับการเติบโตถึง 17.6% ในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 8-9% สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่แบรนด์หรูกำลังเผชิญในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในวงการมองว่า แบรนด์หรูอย่าง Hermès จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าน้อยกว่าร้านค้าปลีกทั่วไป เนื่องจากความสามารถในการผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง ลูกค้าที่พร้อมจ่ายหลายหมื่นดอลลาร์สำหรับกระเป๋าใบเดียวอาจไม่รู้สึกถึงความแตกต่างมากนักกับราคาที่เพิ่มขึ้นอีก 10%
ถึงอย่างนั้นเหล่าแบรนด์หรูยังคงเผชิญกับความท้าทายหากผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลงอย่างกว้างขวางเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงหรือความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ความน่าสนใจคือการเผชิญหน้ากันระหว่าง Hermès และ LVMH ซึ่งควบคุมโดยตระกูล Arnault เศรษฐีชาวฝรั่งเศส ที่เคยพยายามซื้อกิจการ Hermès เมื่อ 10 ปีก่อนแต่ไม่สำเร็จ
ปัจจุบัน Hermès มีมูลค่าตลาด 2.445 แสนล้านยูโร เทียบกับ LVMH ที่ 2.457 แสนล้านยูโร แม้ว่ารายได้ประจำปีของ Hermès จะน้อยกว่าหนึ่งในห้าของอาณาจักร LVMH ที่ครอบคลุมทั้ง Louis Vuitton, Dior, Moët Hennessy, Tiffany และ Sephora
ภาพ: photo-lime/Shutterstock
อ้างอิง: