กูรูเตือน ‘ราคาน้ำมันโลก’ อาจพุ่งแตะ 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เสี่ยงฉุดเศรษฐกิจ

นักวิเคราะห์ประเมินราคาน้ำมันดิบตลาดโลกอาจพุ่งแตะ 150 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เสี่ยงฉุดรั้งเศรษฐกิจ ดันเงินเฟ้อพุ่งทะยานต่อเนื่อง

บรรดานักวิเคราะห์น้ำมันและตลาดพลังงานต่างออกมาคาดการณ์ทิศทางแนวโน้มความเป็นไปได้ของราคาน้ำมันที่มีโอกาสขยับขึ้นไปแตะระดับ 150 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังจากที่ก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบเบรนต์มีแนวโน้มแตะ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในระยะเวลาอันใกล้นี้

จอห์น ดริสคอลล์ ผู้อำนวยการ JTD Energy Services กล่าวว่า มีปัจจัยที่จะดันราคาน้ำมันพุ่งแรง เนื่องจากบรรดาประเทศผู้ส่งออกน้ำมันปฏิเสธที่จะเพิ่มโควตาการผลิต สวนทางกับดีมานด์ในตลาดที่กำลังเพิ่มขึ้นมาตามอัตราการฟื้นตัวของแต่ละประเทศ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงาน หรือ EIA ของสหรัฐฯ ได้ปรับคาดการณ์กำลังการผลิตของ OPEC ว่าจะอยู่ที่เพียง 300,000 บาร์เรลต่อวันในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้

ด้วยปริมาณที่ซัพพลายน้อยกว่าดีมานด์ ทำให้มีโอกาสที่ราคาน้ำมันปีนี้จะร้อนแรงแบบฉุดไม่อยู่มากขึ้น โดยส่วนใหญ่มองว่าจะทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อีกส่วนหนึ่งมองว่าน่าจะขยับขึ้นไปถึง 125-150 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในที่สุด

ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นยังกลายเป็นโจทย์ยากที่ท้าทายความสามารถในการบริหารประเทศของประธานาธิบดีโจ ไบเดน นอกเหนือจากความตึงเครียดกับรัสเซียกรณียูเครน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่จะมีการเลือกตั้งมิดเทอมในปีนี้ เพราะแม้ว่าไบเดนจะมีผลงานทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ปัญหาเงินเฟ้อจะทำให้ความพยายามทั้งหมดของรัฐบาลสหรัฐฯ กลายเป็นเรื่องที่สูญเปล่าได้

ทั้งนี้ไม่เพียงแต่สหรัฐฯ ที่เผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ เพราะราคาน้ำมันที่แพงขึ้นยังทำให้อังกฤษต้องเผชิญตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบ 30 ปี โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) มาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 5.5 เปอร์เซ็นต์ในเดือนมกราคม ทำสถิติแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 1992 สำหรับตัวเลข CPI ที่พุ่งขึ้นเป็นผลจากราคาเสื้อผ้า รองเท้า และค่าเช่าบ้าน

ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนี CPI มีสิทธิ์ปรับตัวขึ้นต่อไป โดยน่าจะขึ้นไปแตะระดับ 7.25 เปอร์เซ็นต์ในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งจะกลายเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1991 เพราะได้ปัจจัยหนุนจากราคาพลังงานที่พุ่งขึ้น

อ้างอิง:

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH