บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานปี 2565 มีรายได้รวม (Total Revenue) 101,397 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92% จาก 52,870 ล้านบาทในปี 2564 และมี Core Profit 12,098 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จาก 8,812 ล้านบาทในปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 3 และ 4 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) ที่เปิดดำเนินการในเดือนมีนาคมและตุลาคม 2565 และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ DIPWP ที่ประเทศโอมาน ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น 155 เมกะวัตต์ รวมเป็น 195 เมกะวัตต์ อีกทั้งยังรับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี ที่เพิ่มขึ้นจากราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ยที่สูงขึ้นจาก 184 ยูโรต่อเมกะวัตต์ชั่วโมง เป็น 352 ยูโรต่อเมกะวัตต์ชั่วโมงในไตรมาส 3/65 และจากความเร็วลมเฉลี่ยที่ดีขึ้นจาก 8.5 เมตรต่อวินาทีในปี 2564 เป็น 9.1 เมตรต่อวินาทีในปี 2565
นอกจากนี้ ในปี 2565 GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation ที่เข้าลงทุนในเดือนกรกฎาคม 2565 จำนวน 324 ล้านบาท รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จาก INTUCH และกำไรจากการซื้อ THCOM รวมทั้งสิ้น 4,656 ล้านบาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ถึงเวลา ‘บิ๊กคอร์ป’ ลงสนาม Data Center หลังความต้องการในไทยพุ่ง-ทุนนอกเล็งใช้เป็น Hub แทนสิงคโปร์
- เมื่อยักษ์ใหญ่ ‘Data Center’ ปักหมุดลงทุนไทย 1.9 แสนล้านบาท เราจะได้อะไรจากการมาครั้งนี้
- GULF’ ทุ่มเงินกว่า 1 หมื่นล้าน ฮุบหุ้น THCOM เหมาจาก INTUCH 41.13% พร้อมลุยเทนเดอร์ต่อ คาดทำครบเงื่อนไขไตรมาส 1 ปีหน้า
อัตรากำไรขั้นต้นลด ผลกระทบต้นทุนก๊าซพุ่ง
ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในปีนี้ เท่ากับ 20.6% ลดลงจาก 27.6% ในปี 2564 โดยปัจจัยหลักมาจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จาก 266.02 บาทต่อล้านบีทียูในปี 2564 เป็น 494.78 บาทต่อล้านบีทียูในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 86% ในขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเพียง 0.5518 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง จาก -0.1532 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงในปี 2564 เป็นเฉลี่ยที่ 0.3986 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงในปี 2565 อย่างไรก็ดี เนื่องจาก GULF มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ถึง 86% ซึ่งต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติจะถูกส่งผ่าน (Pass Through) ในรูปของรายได้ค่าไฟฟ้าไปยัง กฟผ. ในขณะที่มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพียงแค่ 14% จึงได้รับผลกระทบอย่างจำกัดจากราคาค่าก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น
กำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในปี 2565 (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับ 11,418 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการที่ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจาก 33.59 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2564 เป็น 34.73 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2565 ซึ่งผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 GULF มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.56 เท่า ลดลงจาก 1.77 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 เนื่องจากผลประกอบการที่ดีขึ้นในปีนี้ ซึ่งได้สะท้อนอยู่ในส่วนของผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ในเดือนธันวาคม 2565 GULF ยังได้รับเงินจากการขายเงินลงทุนใน BKR2 Holding จำนวน 305 ล้านยูโร
กำไรไตรมาส 4/65 พุ่ง 78%
สำหรับงวดไตรมาส 4/65 GULF มีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) เท่ากับ 3,593 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 865 ล้านบาท หรือ 32% จากไตรมาส 4/64
โดยสาเหตุหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 3 และ 4 รวมกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,325 เมกะวัตต์ ที่เปิดดำเนินการในเดือนมีนาคมและตุลาคม 2565 ส่งผลให้หน่วยผลิตไฟฟ้าทั้ง 4 หน่วยได้เปิดดำเนินการครบตามกำหนดเป็นที่เรียบร้อย และยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จาก INTUCH จำนวน 1,085 ล้านบาท ในไตรมาส 4/65
นอกจากนี้ ในเดือนธันวาคม 2565 GULF ได้จำหน่ายหุ้น 50.01% ใน BKR2 Holding ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี ให้แก่ Keppel Group ส่งผลให้มีกำไรจากการขาย จำนวน 381 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิ (Net Profit) ในไตรมาส 4/65 เท่ากับ 5,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78% จาก 3,043 ล้านบาทในไตรมาส 4/64
ตั้งเป้ารายได้ปี 2566 เติบโต 50%
ยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า สำหรับปี 2566 คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตประมาณ 50% จากโครงการที่จะทยอยเปิดดำเนินการในปี 2566 โดยหลักจะมาจากโครงการโรงไฟฟ้า IPP โครงการที่ 2 ภายใต้ IPD ได้แก่ โครงการ GPD หน่วยที่ 1 และ 2 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้า Jackson Generation ที่สหรัฐอเมริกา (1,200 เมกะวัตต์) โดยหลังจากนี้ GULF จะเน้นลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emissions) โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนจากปัจจุบัน 9% เป็น 40% ภายใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมาจากการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อน, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศ, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) และการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ ยุโรป อเมริกา สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนปากแบง (Pak Beng) และเขื่อนปากลาย (Pak Lay) นั้น คาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ภายในไตรมาส 1/66
ร่วมทุน Binance อยู่ระหว่างขอไลเซนส์
สำหรับธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยที่ร่วมลงทุนกับ Binance นั้น ได้ยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ และนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ กับทาง ก.ล.ต. เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตภายในไตรมาส 1/66
สำหรับธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ GULF ร่วมลงทุนกับ Singtel และ AIS นั้น คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในกลางปีนี้ และคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2568
จ่อลงสนาม Virtual Banking
นอกจากนี้ GULF อยู่ระหว่างการศึกษาธุรกิจ Virtual Banking เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลด้วย ในเดือนธันวาคม 2565 GULF ได้เข้าซื้อหุ้น 41.13% ใน THCOM จาก INTUCH โดยเล็งเห็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจดาวเทียม (Satellite) ไปในธุรกิจ New Space Economy เช่น การนำข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมมาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หรือการประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอนและคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ป่าชุมชน รวมถึงดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit Satellite) เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อเดือนมกราคม 2566 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ GULF มาอยู่ที่ระดับ ‘A+’ จากระดับ ‘A’ และปรับเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้ของ GULF มาอยู่ที่ระดับ ‘A’ จากระดับ ‘A-’ โดยในไตรมาส 1/66 GULF มีแผนจะออกหุ้นกู้เพิ่มอีกประมาณ 15,000-20,000 ล้านบาท เพื่อชำระคืนเงินกู้เดิม และเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ เท่ากับ 151% โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 2 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 เมษายน 2566 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 1 มีนาคม 2566 และกำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ในวันที่ 5 เมษายน 2566