จากกรณีที่ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ประกาศทำคำเสนอซื้อ (Tender Offer) หุ้นทั้งหมดของ บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) และ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (19 เมษายน)
สมิทธ์ พนมยงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารสินทรัพย์ธุรกิจในเครือและการลงทุน GULF กล่าวยืนยันว่า แผนการเข้าลงทุนใน INTUCH ครั้งนี้ บริษัทไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนแต่อย่างใด ซึ่งปัจจุบันได้เตรียมแหล่งเงินทุนรองรับไว้หมดแล้ว ทั้งจากกระแสเงินสดของบริษัทและวงเงินกู้ที่มีเหลืออยู่กับหลายธนาคาร
“คนกังวลว่าเรากู้มากจะเป็นภาระกับเรา แต่จริงๆ แล้วการกู้มากก็แปลว่าเราจะได้มากขึ้น เพราะหากเราถือ INTUCH เกิน 50% เราก็จะรวมกำไรและส่วนทุนเข้ามาด้วย ขณะที่หนี้สินก็ไม่ได้มาก”
สมิทธ์กล่าวย้ำว่า การทำ Tender Offer หุ้น INTUCH ในครั้งนี้ หากบริษัทเข้าถือหุ้นเกิน 50% จะต้องมีการรวมงบการเงินของ INTUCH เข้ามาด้วย ซึ่งปัจจุบัน INTUCH มีส่วนทุนราว 4 หมื่นล้านบาท หนี้สิน 8 พันล้านบาท และยังมีกำไรปีละ 1 หมื่นล้านบาท
สำหรับการกำหนดราคารับซื้อหุ้น INTUCH ที่ราคา 65 บาทต่อหุ้น เชื่อว่าเป็นราคาที่เหมาะสมกับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ส่วนวงเงินในการรับซื้อหุ้นทั้งหมดคาดว่าจะใช้เงินรวมประมาณ 2 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากตัดสัดส่วนที่ Singtel ถืออยู่ราว 21% จะทำให้หุ้นทั้งหมดเหลือสัดส่วนประมาณ 50% หรือคิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนราว 1.6 แสนล้านบาท โดยคาดว่ากระบวนการซื้อขายดังกล่าวจะแล้วเสร็จในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2564
ทั้งนี้บริษัทได้ขอผ่อนผันไม่ทำ Tender Offer หุ้น ADVANC โดยตั้งราคารับซื้อที่ต่ำกว่าราคาตลาดมาก ซึ่งเชื่อว่าคงจะไม่มีใครนำหุ้นมาขายให้กับบริษัทและเตรียมขอผ่อนผันในส่วนของหุ้น บมจ.ไทยคม (THCOM) เช่นกัน ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลชัดเจนในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
“ประเด็นดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์ตลาดและวงการตลาดหุ้นไทยพอสมควร” สรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ โดยมองว่าหลังจากที่ GULF ประกาศเพิ่มทุนไปก่อนหน้านี้ เดิมทีคาดกันว่าจะนำเงินไปลงทุนในส่วนของพลังงานทดแทนในเวียดนามและยุโรป แต่ล่าสุดดูเหมือนว่าจะต้องนำเงินมาใช้ในการเข้าซื้อ INTUCH และ ADVANC ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นของ GULF ที่ปรับลดลงช่วงแรกหลังจากเปิดตลาด (ลงไปต่ำสุดที่ 31 บาท หรือ -5.3%) ถูกกดดันจากสองประเด็นสำคัญ คือ 1. ความกังวลเรื่องการเพิ่มทุนที่อาจจะเกิดขึ้น หากบริษัทจำเป็นจะต้องเสนอซื้อทั้ง INTUCH และ ADVANC แต่การเพิ่มทุนเป็นครั้งที่สองภายใน 2 ปี อาจทำให้บริษัทตอบคำถามผู้ถือหุ้นได้ยาก เพราะการเพิ่มทุนเพื่อนำเงินไปซื้อหุ้น INTUCH และ ADVANC อาจทำให้ผู้ถือหุ้นมีคำถามได้ว่า หากเป็นเช่นนี้ผู้ถือหุ้นนำเงินไปซื้อหุ้น INTUCH และ ADVANC โดยตรงโดยไม่ต้องผ่าน GULF อาจจะดีกว่า
2. ความไม่แน่นอนในประเด็นนี้มีหลายเรื่อง เช่น ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ INTUCH อย่าง Singtel Global Investment จะยอมขายหุ้นให้หรือไม่ หรือวัตถุประสงค์ที่ต้องการเข้ามาลงทุน
“หาก GULF เข้าถือหุ้น INTUCH และ ADVANC จริง เท่ากับว่า GULF จะกลายเป็น Holding Company เต็มตัว จากเดิมที่นักลงทุนมองว่า GULF คือผู้นำของกลุ่มโรงไฟฟ้า ภาพก็จะเปลี่ยนไป และการให้พรีเมียมกับราคาหุ้นก็อาจจะลดลงได้ เพราะปัจจุบันหุ้นในกลุ่ม INTUCH ก็ไม่ได้มีพรีเมียมแบบในอดีตอีกแล้ว”
อย่างไรก็ดี ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันนี้ GULF ได้เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมผ่านการประชุมนักวิเคราะห์ โดยบริษัทยืนยันว่าเงินที่จะใช้ในการทำ Tender Offer ครั้งนี้จะมาจากเงินกู้ในช่วงแรก และอาจจะมีการออกหุ้นกู้เพิ่มเติม โดยไม่จำเป็นจะต้องมีการเพิ่มทุนแต่อย่างใด ซึ่งจำนวนเงินที่ต้องใช้จะขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้ถือหุ้นที่ใช้สิทธิ์ขายหุ้นให้กับบริษัท
“หลังจากอัปเดตข้อมูลกับทางบริษัทแล้ว เชื่อว่าประเด็นการเพิ่มทุนไม่น่ากังวลนัก ทั้งจากการที่ GULF ไม่น่าจะต้อง Tender Offer หุ้น ADVANC เพราะราคาเสนอซื้อที่ต่ำกว่ากระดาน ขณะที่การเข้าซื้อ INTUCH และรวมงบการเงินเข้ามาจะทำให้ฐานทุนของ GULF ใหญ่ขึ้นมาก ทำให้ความสามารถในการกู้น่าจะถึงระดับ 2 แสนล้านบาท”
ทั้งนี้นักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ประเมินว่า หาก GULF ต้องซื้อหุ้น INTUCH ไปถึงระดับ 50% บริษัทจะต้องกู้เงินเพิ่มราว 7 หมื่นล้านบาท และหากไปถึงระดับ 100% เงินกู้อาจจะเพิ่มไปถึงระดับ 1.7 แสนล้านบาท
ส่วนเป้าหมายการเข้าลงทุนในครั้งนี้ คาดว่ามีเป้าหมายเพื่อก้าวเข้าสู่ดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อรองรับการเปิดเสรีธุรกิจไฟฟ้าในอนาคต อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนนี้
ด้าน ศุภชัย วัฒนวิเทศกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า เป้าหมายของ GULF ในการเข้าซื้อ INTUCH คือ ‘ดิจิทัลแพลตฟอร์ม’ ซึ่งในอนาคตน่าจะได้เห็นการ Synergy กันระหว่าง GULF และ INTUCH ในแง่ของการรวมเอาจุดเด่นของทั้งสองบริษัท กล่าวคือ GULF มีโครงสร้างของสาธารณูปโภค ขณะที่ INTUCH มีแพลตฟอร์มด้านไอทีที่ครอบคลุมทั้งประเทศ ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อในยุค 5G ในส่วนนี้อาจจะเห็นการต่อยอดในธุรกิจ Smart Grid หรือ Drone เพื่ออุตสาหกรรมในอนาคต
ส่วนการบริหารงานในธุรกิจเทเลคอม GULF ไม่มีความต้องการจะเข้าไปทำในส่วนนี้ ขณะที่ฝั่งของ Singtel ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ INTUCH ในปัจจุบันน่าจะยังคงถือหุ้นต่อไป
ขณะที่ ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า การกู้ของ GULF อาจจะอยู่ที่ราว 1 แสนล้านบาท โดยมีดอกเบี้ยเงินกู้ประมาณ 2-3% เมื่อเทียบกับอัตราเงินปันผลจ่ายของ INTUCH ที่ราว 5% จะสามารถปลดภาระในจุดนี้ได้
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
