หลักทรัพย์กสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์จากกรณีที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เข้าซื้อหุ้นบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ในสัดส่วน 4.6% เพื่อบริหารและเพิ่มผลตอบแทนเงินสดในมือจากอัตราผลตอบแทนปันผลสูง และเป็นการกระจายความเสี่ยงด้านธุรกิจ
โดยระบุว่า การซื้อหุ้นครั้งนี้นับเป็นการเข้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครั้งที่สองของบริษัท โดยปัจจุบัน GULF มีสัดส่วนการถือครองในบริษัทผู้ประกอบกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนอย่าง SPCG อยู่ที่ 11.5% ซึ่งทั้ง INTUCH และ SPCG ต่างมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (DY) ในอดีตที่สูงอย่างต่อเนื่อง หรือมากกว่า 4%
นอกจากนี้ GULF มีเงินสดอยู่ในมือ 1.4 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 1/63 เมื่ออิงจากแผนโครงการในปัจจุบัน หลักทรัพย์กสิกรไทยประเมินว่า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อเงินทุน (net D/E ratio) ของ GULF จะเพิ่มขึ้นจาก 1.9 เท่าในปี 2563 และเพิ่มขึ้นไปเป็น 2.7 เท่าในปี 2567 อย่างไรก็ตาม ยังมีความสามารถก่อหนี้เพิ่มเติมอีก 5.8 หมื่นล้านบาท ก่อนที่จะไปแตะระดับนโยบายภายในสำหรับ net D/E ratio ของบริษัทที่ไม่เกินสามเท่า หรือคิดเป็นมูลค่าหนี้สินไม่เกิน 8.4 หมื่นล้านบาท ก่อนที่จะไปแตะระดับเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ (Debt Covenant) ที่ 3.5 เท่า
ทั้งนี้หลักทรัพย์กสิกรไทยคาดว่าธุรกรรมดังกล่าวจะสร้างกำไรส่วนเพิ่มให้กับ GULF ในช่วงปี 2564-2565 ได้ 265 ล้านบาท 281 ล้านบาท และ 316 ล้านบาทตามลำดับ และคิดเป็นมูลค่าส่วนเพิ่มต่อราคาเป้าหมายที่ 0.5 บาท อิงตามสมมติฐานการเงินกู้ยืมโครงการที่ 50%
โดยหลักทรัพย์กสิกรไทยมองว่า GULF จะได้ประโยชน์จากการเข้าลงทุนใน INTUCH ในแง่ของการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการเงินสด และอาจก่อให้เกิด Upside ต่อราคาหุ้น อีกทั้งยังเป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยหลักทรัพย์กสิกรไทยแนะนำให้ ‘ถือ’ ด้วยราคาเป้าหมายที่ 35.50 บาท โดยยังไม่รวม Upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิจากความไม่ชัดเจนในเรื่องโครงสร้างแหล่งเงินทุน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า