×

GULF คว้ากำไร 1Q66 พุ่ง 13% ทะลุ 3.8 พันล้าน จากธุรกิจพลังงาน และการลงทุนใน INTUCH เผยดีล Binance คาดเปิดซื้อขายภายในสิ้นปี

15.05.2023
  • LOADING...
GULF

กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี โชว์กำไรสุทธิไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 3,850 ล้านบาท โตพุ่ง 13% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาจากโรงไฟฟ้า IPP และ SPP ขายไฟให้ กฟผ. และส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ตั้งเป้าปี 2566 รายได้โต 50% เพิ่มสัดส่วนธุรกิจพลังงานหมุนเวียนโดยเฉพาะยุโรป อังกฤษ ส่วนคืบหน้าดีล Binance คาดได้รับใบอนุญาตในเดือนมิถุนายน 2566 เปิดดำเนินการซื้อขายสิ้นปีนี้ 

 

รายงานข่าวจาก บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ระบุ ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 มีรายได้รวม (Total Revenue) เท่ากับ 29,083 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จาก 22,453 ล้านบาท ในไตรมาส 1/65 และมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) เท่ากับ 3,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จาก 3,257 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากการรับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติกัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD ครบทั้ง 4 หน่วย (รวม 2,650 เมกะวัตต์) 

 

อีกปัจจัยหนึ่งมาจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ SPP 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนที่ขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และลูกค้าอุตสาหกรรม โดยสาเหตุหลักมาจากราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ยที่สูงขึ้นตามราคาก๊าซธรรมชาติ ประกอบกับค่า Ft เฉลี่ยสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช่ประเภทบ้านอยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น เพื่อสะท้อนต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น โดยค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 441.56 บาทต่อล้านบีทียูในไตรมาส 1/65 มาเป็น 496.39 บาทต่อล้านบีทียูในไตรมาส 1/66 และค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 0.0139 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น 1.5492 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงในไตรมาส 1/66 

 

นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลกัลฟ์ จะนะ กรีน (GCG) มีกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก 36 ล้านบาทในไตรมาส 1/65 มาเป็น 103 ล้านบาทในไตรมาส 1/66 หรือเติบโตขึ้น 188%YoY เนื่องจากต้นทุนราคาไม้เฉลี่ยที่ลดลงจาก 1,120 บาทต่อตัน เป็น 963 บาทต่อตันในไตรมาสนี้ 

 

อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งกำไร Core Profit ของกลุ่ม GJP ในไตรมาส 1/66 เท่ากับ 428 ล้านบาท ลดลง 31%YoY และยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จาก INTUCH จำนวน 1,247 ล้านบาท โตขึ้น 13% จาก 1,100 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ AIS และรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ DIPWP ในประเทศโอมาน จำนวน 150 ล้านบาท ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จครบทั้ง 326 เมกะวัตต์ตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 นอกจากนี้ GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit เต็มไตรมาสจากโครงการที่เข้าลงทุนในปี 2565 ได้แก่ 

 

โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation จำนวน 282 ล้านบาท, โครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว Thai Tank Terminal จำนวน 73 ล้านบาท และจาก THCOM จำนวน 63 ล้านบาท โดยปัจจัยที่กล่าวข้างต้นสามารถชดเชยส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งในเดือนธันวาคม 2565 GULF ได้จำหน่ายหุ้น 50.01% ที่ถือใน BKR2 Holding ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้า BKR2 ให้แก่ Keppel Group ส่งผลให้ในไตรมาส 1/66 มีส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ลดลง 

 

ค่าเงินไม่กระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการ

 

ขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 1/66 เท่ากับ 8,143 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับ 7,075 ล้านบาทในไตรมาส 1/65 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ในไตรมาสนี้ เท่ากับ 28.0% เทียบกับ 31.5% ในไตรมาส 1/65 โดยเหตุผลหลักมาจากกำไรของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม BKR2 ที่ลดลงภายหลังจากที่จำหน่ายหุ้นใน BKR2 Holding ออกไปเมื่อเดือนธันวาคม 2565

 

ส่งผลให้กำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 1/66 (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับ 3,850 ล้านบาท เนื่องจากค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นจาก 34.73 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 4/65 เป็น 34.26 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 1/66 ซึ่งผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด

วันที่ 31 มีนาคม 2566 GULF มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.62 เท่า สูงขึ้นจาก 1.56 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 เนื่องจาก GULF ได้มีการออกหุ้นกู้จำนวน 20,000 ล้านบาทในเดือนมีนาคม 2566 เพื่อนำไปใช้ขยายธุรกิจ และชำระคืนเงินกู้บางส่วน รวมถึงได้เบิกเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท 

 

ตั้งเป้าปี 2566 คาดรายได้รวมเติบโตประมาณ 50% 

ยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า สำหรับปี 2566 คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตประมาณ 50% จากโครงการที่จะทยอยเปิดดำเนินการในปี 2566 ซึ่งยังเป็นไปตามแผน โดยโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติกัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ภายใต้กลุ่ม IPD หน่วยที่ 1 (662.5 เมกะวัตต์) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2566 และหน่วยที่ 2 (662.5 เมกะวัตต์) มีกำหนดเปิดดำเนินการในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ภายใต้ GULF1 ซึ่งมีกำหนดจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีก 90-100 เมกะวัตต์ในปีนี้ นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 GULF ได้เข้าซื้อหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation (1,200 เมกะวัตต์) ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งโครงการดังกล่าวได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 ส่งผลให้กำลังการผลิตในปี 2566 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 2,900 เมกะวัตต์ เมื่อเทียบกับปี 2565

 

สำหรับแผนธุรกิจของ GULF ในปี 2566 จะเน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 40% ภายในปี 2578 ซึ่งจะมาจากการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศ รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม และการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป และอังกฤษ

 

ยันโปรเจกต์มาบตาพุด เฟส 3 ถมทะเลแล้วเสร็จ เริ่มก่อสร้าง LNG Terminal ปีหน้า 2567

 

ยุพาพินกล่าวเพิ่มว่า สำหรับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานยังเป็นไปตามแผนที่กำหนด โดยโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 มีกำหนดจะถมทะเลแล้วเสร็จและจะเริ่มก่อสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal) ในปี 2567 และโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 มีกำหนดจะเปิดดำเนินการท่าเทียบเรือ F1 และ F2 ในปี 2569 และ 2573 ตามลำดับ ในส่วนของโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) มีกำหนดจะเปิดดำเนินการในปี 2568 

 

ส่วนความคืบหน้าของธุรกิจดิจิทัลยังเป็นไปตามแผน โดยธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยที่ร่วมลงทุนกับ Binance คาดว่าจะได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในเดือนมิถุนายน 2566 และคาดว่าจะเปิดดำเนินการซื้อขายภายในสิ้นปีนี้ ส่วนธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ร่วมลงทุนกับ Singtel และ AIS นั้น มีแผนที่จะเริ่มก่อสร้างกลางปีนี้ และคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ต้นปี 2568

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising