×

คู่มือตัดสินใจ iPhone X น่าซื้อหรือไม่? ผ่านหลากความเห็นผู้รู้วงการไอที

13.09.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 mins read
  • ขจร เจียรนัยพานิชย์ แฟนพันธุ์แท้สตีฟ จ็อบส์ มองว่าฟีเจอร์การสแกนใบหน้าเพื่อใช้ในการปลดล็อกเครื่องอย่าง Face ID จะเป็นการสร้างมาตรฐานให้กับอุตสาหกรรมมือถือในอนาคต
  • ศุภเดช สุทธิพงศ์คณาสัย ผู้ดำเนินรายการ ล้ำหน้าโชว์ บอกว่าตนประทับใจการที่ Apple ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) เข้ามาประยุกต์ใช้ในสมาร์ทโฟน
  • ซู่ชิง-จิตต์สุภา ฉิน ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ Cool Tech ให้ความเห็นว่าราคาจำหน่ายของ iPhone X ที่น่าจะเกือบๆ แตะหลัก 40,000 กว่าบาท ถือเป็นราคาที่แพง อย่างไรก็ดี ความคุ้มค่าที่ผู้บริโภคมองผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นก็ไม่เหมือนกัน

     หลังเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา (ตามเวลาประเทศสหรัฐอเมริกา) ใครหลายคนคงมีโอกาสได้ยลโฉม iPhone X และ iPhone 8 & 8 Plus ผ่านคลิปโฆษณา ข้อมูลบนเว็บไซต์ และคลิปรีวิวการใช้เบื้องต้นจากภายในงานกันไปบ้างแล้ว

     อย่างไรก็ดี ประเด็นที่น่าสนใจในทุกๆ ครั้งที่มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากฝั่ง Apple ออกมาคือ มันคุ้มค่าแก่การจ่ายเงินแค่ไหน? หรือควรอัพเกรดรุ่นมือถือของตัวเองในตอนนี้หรือไม่?

 

 

     ยิ่งครั้งนี้โจทย์ยิ่งยากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว เมื่อ Apple เปิดตัว iPhone X สมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ฉลองครบรอบ 10 ปี iPhone ที่จัดเต็มด้วยหน้าจอแบบไร้ขอบ ไร้ปุ่มโฮม 5.8 นิ้ว พร้อมความคมชัดของหน้าจอแบบ Super Retina Display ทั้งยังรองรับการใช้งาน Face ID หรือ Animoji (คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ เพียงแต่ปัญหาดันติดอยู่ที่ว่า Apple เคาะราคาขายสูงเสียเหลือเกิน โดยเริ่มต้นที่ 999 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 33,092 บาท) ซึ่งแน่นอนว่าราคาจำหน่ายในประเทศไทยคงแพงกว่านี้อีกพอสมควร

     เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจขั้นเบื้องต้น THE STANDARD ได้ติดต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญที่คร่ำหวอดในวงการเทคโนโลยีและไอทีอย่าง ‘Khajochi’ หรือ เอ็ม-ขจร เจียรนัยพานิชย์ แฟนพันธุ์แท้สตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ macthai.com และ mangozero.com, ศุภเดช สุทธิพงศ์คณาสัย ผู้ดำเนินรายการ ล้ำหน้าโชว์ และ ซู่ชิง-จิตต์สุภา ฉิน ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ Cool Tech ทางสถานีโทรทัศน์ Voice TV เพื่อสอบถามความคิดเห็นของพวกเขาที่มีต่อ iPhone X หรือ ไอโฟนเทน

 

ความว้าวของ Apple คือนวัตกรรมที่ตั้ง ‘มาตรฐาน’ ให้กับอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือ

     ถ้าใครได้ดูงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ครั้งนี้ของ Apple ก็น่าจะพอได้ยินประโยคที่ ทิม คุก (Tim Cook) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบันของบริษัท กล่าวเอาไว้ว่า “การที่ iPhone ได้สร้างแรงกระเพื่อมต่อโลกใบนี้ในทุกๆ วัน ถือเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มากๆ

     “iPhone รุ่นแรกได้เปลี่ยนวิธีการที่พวกเรามีปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีไปตลอดกาลด้วยการสามารถสัมผัสบนหน้าจอได้หลายนิ้ว (Multi-touch) และตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมา เรายังคงขับเคลื่อนนวัตกรรมด้วยนวัตกรรม”

 

 

     Apple ยังคงบรรลุเป้าหมายเหมือนที่ทิมกล่าวไว้ได้ชัดเจน เช่นเดียวกับในครั้งนี้ ถึงแม้หลายคนอาจจะรู้สึกว่า iPhone X ที่เปิดตัวออกมาแทบจะไม่มีความว้าวใดๆ ทั้งสิ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 กลับมองว่าเทคโนโลยีการปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face ID) จะเป็นบรรทัดฐานให้อุตสาหกรรมมือถือต่อไปในอนาคต

     ขจรบอกว่า “ถึงแม้ว่ามันจะมีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนอย่างที่ข่าวหรือหลุดออกมาก็จริง แต่พอเราได้เห็นสิ่งที่มันทำได้จริงๆ ก็พบว่า Apple เขานำเสนอออกมาได้ดีและค่อนข้างน่าประทับใจ อย่างฟีดแบ็กจากคนรอบตัวผมเขาก็ไม่ได้ตื่นเต้นกับการที่หน้าจอไม่มีปุ่มโฮม แต่ทุกคนจะไปตื่นเต้นกับความสามารถที่ Apple นำเสนอออกมามากกว่า ทั้งการจดจำใบหน้า (Face ID) ว่ามีความแม่นยำแค่ไหน หรือการที่ Apple ทุ่มเทพัฒนาเซนเซอร์ในการใช้งานตรวจจับใบหน้า ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ใหม่มากๆ ในวงการสมาร์ทโฟน
     “จริงอยู่ที่ค่ายอื่นๆ อาจจะทำเหมือนกัน แต่เขาอาจจะไม่ได้ทำออกมาละเอียดเป็น 3 มิติเหมือนที่ Apple ทำ ผมเชื่อว่าพอ Apple ทำระบบนี้ออกมา ต่อไปมันก็จะกลายเป็นมาตรฐานให้กับอุตสาหกรรมนี้เหมือนกับตอนที่ Apple พัฒนาระบบสแกนลายนิ้วมือ (Touch ID) ออกมา ที่ทุกคนก็ทำตามกันหมด เช่นเดียวกับผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์ Siri มันเหมือนกับว่าพอ Apple ปล่อยฟีเจอร์อะไรออกมา ก็เป็นการเซตมาตรฐานให้ทุกคนต้องทำให้ได้ ซึ่งในรอบนี้ก็ถือว่าเป็นการเซตมาตรฐานตัวเองที่สูงมากสำหรับฟีเจอร์ Face ID”

     ซู่ชิงมองไม่ต่างกับขจร โดยเธอบอกว่าเทคโนโลยีการสแกนใบหน้าเป็นสิ่งที่ค่ายผู้พัฒนาเทคโนโลยีเจ้าอื่นๆ ก็พัฒนากันมาก่อนอยู่แล้ว แต่ความแตกต่างที่ทำให้เทคโนโลยีของ Apple ไม่เหมือนเจ้าอื่นๆ คือความสามารถในการกำหนดมาตรฐานของวงการ

     “Apple เป็นอีกหนึ่งค่ายที่เอาเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้ามาใช้เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม เหมือนที่ผ่านๆ มา เทคโนโลยีหลายอย่างก็เกิดขึ้นแล้ว แต่พอ Apple หยิบมาพัฒนาก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้นกว่าเดิม อีกอย่างเทคโนโลยีการสแกนลายนิ้วมือ Apple ก็ไม่ใช่เจ้าแรกที่ทำ แต่พอเขาทำออกมาแล้ว ทุกคนก็รู้สึกว่านี่คือพื้นฐานและมาตรฐานของสิ่งที่สมาร์ทโฟนดีๆ สักเครื่องหนึ่งควรจะมี

     “ส่วนเรื่องความ ‘ว้าว’ จาก Apple เราเชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยอาจจะรู้สึกว่าไม่สามารถคาดหวังความเป็นผลิตภัณฑ์ในหมวดหมู่ใหม่ ดังนั้น การจะบอกว่ามันไม่มี Wow Factor เลย บางทีมันอาจจะเป็นประเด็นที่เริ่มเก่าไปแล้ว มันต้องมาดูกันที่ตัวผลิตภัณฑ์มากกว่า เพราะอย่างไรก็ตาม คนที่ยังติดตาม Apple อย่างใกล้ชิดก็ยังเป็นแฟนของเขาอยู่ดี ส่วนคนที่บอกว่าไม่มีอะไร ‘ว้าว’ เลย คนกลุ่มนี้เขาอาจจะไม่ใช่ลูกค้าหลักของ Apple อยู่แล้ว
     “ดังนั้นความรู้สึกของเราจากงานเมื่อวาน สิ่งที่เด่นที่สุดของ Apple คือความสามารถในการนำเทคโนโลยีบางอย่างมาให้ผู้บริโภคทั่วๆ ไปเข้าถึงได้ไม่ยาก เช่น Facial Tracking ในการทำ Animoji ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตเทคโนโลยีไม่เคยเอามาให้ผู้ใช้งานทั่วไปอย่างเราได้เล่นมาก่อน ในความรู้สึกของเราจึงมอง iPhone X เป็นเหมือน iPhone Experience ใหม่ของผู้ใช้งานมากกว่า เราคงไม่พูดถึงสิ่งที่พวกเขาทำว่ามันว้าวแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนอีกแล้ว เพราะเราก็เริ่มรู้แล้วว่าทิศทางของ Apple มันเปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่ สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ไม่อยู่”

     ด้านศุภเดชเชื่อว่าความ ‘ว้าว’ ของ Apple จะไม่บังเกิดผลทันทีในวันแรกที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ แต่จะเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมทีละเล็กทีละน้อย เมื่อนักพัฒนาต่อยอดผลิตแอปพลิเคชันต่างๆ ที่รองรับการใช้งานเทคโนโลยี AR (Augmented Reality คล้ายๆ เกม Pokémon GO) ออกมามากขึ้น

     “ตอนดูงานเปิดตัวผมไม่ค่อยว้าวเท่าไร อาจจะเป็นเพราะว่าง่วง แต่หลังจากที่งานจบลงแล้วมานั่งนึกๆ ดู ก็พบว่ามันก็มีสิ่งที่ทำให้เราว้าวอยู่เหมือนกัน แต่จะเป็นความว้าวที่เริ่มต้นหลังจากนี้ ด้วยฮาร์ดแวร์ที่ Apple ให้มาใน iPhone X มันยังไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้คนฮือฮาได้ตั้งแต่วันแรก แต่เป็นฮาร์ดแวร์เพื่อที่จะไปต่อยอดพัฒนาต่อในอนาคต เช่น ชิปประมวลผล A11 Bionic ที่แรงแบบโคตรๆ ผลการ Benchmark (ทดสอบ) ที่ได้ออกมาคือแรงทะลุจักรวาล ถึงขนาดที่ประมวลผลการใช้งานเทคโนโลยี AR แบบเรียลไทม์ได้ ซึ่งแปลว่ามันกินพลังสูงมาก ผมคิดว่าเราคงต้องรอว่าเหล่านักพัฒนาจะชงอะไรออกมาต่อจากนี้”

 

via GIPHY

via GIPHY

via GIPHY

via GIPHY

 

Animoji ฟีเจอร์หลอกเด็กหรือประสบการณ์ใหม่ๆ

     หนึ่งในฟีเจอร์ที่ Apple ภูมิใจนำเสนอในครั้งนี้นอกเหนือจาก Face ID หนีไม่พ้น Animoji (Animation + Emoji) ที่เป็นการประยุกต์กล้องแบบ TrueDepth และเซนเซอร์ต่างๆ บริเวณหน้าจอเครื่องมาใช้ในการสร้างอิโมจิที่เคลื่อนไหวตามใบหน้าและเสียงของผู้ใช้งานได้ทุกประการ

     อย่างไรก็ดี ผู้ใช้งานจำนวนไม่น้อยและสื่อบางสำนักในต่างประเทศกลับมองว่าฟีเจอร์นี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่ควรค่าแก่การรอคอยเท่าที่ควร

     ศุภเดชคือหนึ่งในผู้ใช้งานที่ไม่ได้เชื่อเช่นนั้น โดยเขามองว่าการที่ Apple ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี AR หรือ Animoji จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการการสร้างคอนเทนต์และการดึงคาแรกเตอร์การ์ตูนต่างๆ มาใช้ในอนาคต

 

 

 

     “ผมว่าสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดคือเมื่อ Apple มีการพัฒนาเทคโนโลยี AR และ VR ลงบนโทรศัพท์มือถือมากขึ้นเช่นนี้ ในอนาคตเราจะกลับเข้าสู่โลกของคาแรกเตอร์สมมติกันอีกครั้งหนึ่ง ในอนาคตคนทำคอนเทนต์ ผู้พากย์บรรยาย E-Sport ก็อาจจะใช้ตัวคาแรกเตอร์มาประยุกค์ใช้กับงานที่ตัวเองทำด้วยเทคโนโลยีเหล่านั้นได้เลย”

     ซู่ชิงก็มีความคิดเห็นในประเด็นนี้คล้ายๆ กันว่า “ฟีเจอร์ Animoji ที่หลายๆ คนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องที่ไร้สาระ เราเห็นหลายคนเลยที่มีความเห็นว่าทำไมถึงทำได้แค่นี้? เอาเงินมากมายไปลงทุนกับ Animoji เหรอ? แต่ซู่ชิงกลับรู้สึกว่า โอเคมันอาจจะไม่ใช่การสร้างยานอวกาศขึ้นมาใหม่ แต่มันคือประสบการณ์ของผู้ใช้งานที่สุดท้ายแล้วเดี๋ยวคนก็จะชอบมันเอง

     “มันเป็นการทำให้เทคโนโลยีที่เราอาจจะเคยให้ผู้สร้างหนังแอนิเมชันฮอลลีวูดใช้กัน แต่ตอนนี้เราเข้าถึงมันได้แล้ว มันอยู่บนโทรศัพท์ที่เราสามารถใช้งานมันอย่างไรก็ได้ มันเป็นจุดเด่นที่ไม่สมควรจะได้รับความเกลียดชังขนาดนั้น (หัวเราะ) ถึงแม้เราจะไม่ใช้ Apple’s fan girl ที่เชียร์ Apple แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราก็รู้สึกว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้นเสียหน่อย มันโอเคและน่ารักด้วยซ้ำไป ทำให้เราได้ทดลองใช้โทรศัพท์ด้วยประสบการณ์อีกรูปแบบหนึ่ง”
     นอกจากนี้เธอยังกล่าวเสริมอีกด้วยว่า ฟีเจอร์ใน iPhone X ที่เธอชื่นชอบไม่แพ้ Animoji ก็คือการถ่ายภาพบุคคลที่สามารถปรับแสงสว่างได้ตามความต้องการ “ฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจคือความสามารถในการถ่ายภาพแบบ Portrait Lighting ที่ทำให้หน้าของเราสว่างขึ้นเหมือนถ่ายในสตูดิโอ ถ่ายภาพเซลฟีแบบหน้าชัดหลังเบลอได้ โอเคแหละ ทั้งหมดนี้มันอาจจะไม่ใช่ของที่ใหม่เอี่ยมไปซะทีเดียว แต่ความน่าสนใจคือเวลาที่ Apple ทำเทคโนโลยีพวกนี้ออกมา เขาทำได้ดีและทำให้ผู้บริโภคสามารถใช้งานได้ง่ายและเป็นธรรมชาติ”

 

 

iPhone X คุ้มค่าแค่ไหน กับราคาขายที่แพงเช่นนี้?

     อย่างที่ได้กล่าวไปว่าถึงแม้ราคาวางจำหน่ายเริ่มต้นของ iPhone X จะอยู่ที่ประมาณ 33,000 กว่าบาทในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ราคาวางจำหน่ายเมื่อนำเข้ามาในประเทศไทยย่อมสูงกว่านี้แน่นอน

     เช่นนั้นแล้วผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่านมองว่าคุ้มค่าหรือไม่อย่างไรกับการต้องจ่ายเงินที่แพงขนาดนี้เพื่อแลกกับสมาร์ทโฟนเครื่องหนึ่ง?

     ซู่ชิงยอมรับว่า iPhone X มีราคาแพงจริง แต่ความคุ้มค่าด้านราคาที่แต่ละคนมองอาจจะมีมากน้อยไม่เท่ากัน ส่วนตัวเธอเองหากมีโอกาสก็คงจะตัดสินใจซื้อมาลองใช้

     “มันก็แพงแหละ เพราะเข้าไทยจริงๆ ราคาก็คงไปอยู่ที่ประมาณ 40,000 กว่าบาท แต่เรื่องความคุ้มค่า เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าผลิตภัณฑ์ของ Apple ไม่สามารถหารเฉลี่ยออกมาเป็นความคุ้มค่าด้านราคาได้ เพราะทั้งหมดคือความเต็มใจในการที่จะจ่ายเพื่อแลกกับประสบการณ์ในการใช้งานและภาพลักษณ์ของการเป็น Apple’s User ดังนั้นมันคงไม่สามารถตีเป็นตัวเลขออกมาว่าคุ้มค่าแค่ไหน เช่นถ้าเขารู้สึกว่า 40,000 บาทกับสมาร์ทโฟนมันแพง แต่ก็คุ้มที่จะแลกมาซึ่งความเอ็กซ์คลูซีฟนั้นๆ ดังนั้นคำว่าคุ้มค่ามันคงอยู่ที่ตัวผู้ใช้งานแต่ละคนมากกว่า

     “สำหรับตัวเราถ้ามีเงินก็คงจะซื้อแหละ (หัวเราะ) ซู่ชิงเห็นหลายคนก็พูดอย่างนี้เช่นกันว่า ‘เฮ้ย! มันแพงมากเลย แต่ถ้ามีเงินก็ซื้อ’ เพราะก็อยากจะลองเหมือนกันว่าฟีเจอร์ต่างๆ ที่เขานำเสนอออกมามันใช้งานจริงแล้วเป็นอย่างไรบ้าง แต่มันก็อยู่ในเงื่อนไขที่ว่าต้องไม่ทำให้เรากระเป๋าฉีกด้วย
     “ส่วนถ้าให้แนะนำผู้ใช้งานคนอื่นๆ ซู่ชิงมองว่าใครที่ใช้งาน iPhone 7 หรือ 7 Plus อยู่แล้วไม่ต้องเปลี่ยนเป็น iPhone 8 หรือ 8 Plus เพราะความแตกต่างของราคาที่แลกมากับสเปกบางส่วนอัพเกรดมันยังไม่คุ้ม เพราะถ้าถามผู้ใช้งาน iPhone 7 หรือ 7 Plus จริงๆ ว่า ทุกวันนี้รู้สึกหรือเปล่าว่าโทรศัพท์ที่เขาใช้ทำงานช้า มันก็คงไม่นะคะ แต่ถ้ามีงบประมาณแล้วอยากจะอัพเกรด เราแนะนำว่าให้กระโดดไป iPhone X หรือรอ iPhone รุ่นใหม่ปีหน้าไปเลย ไม่ต้องเสียเงิน ฟันธงให้ (หัวเราะ)”

     เมื่อถามถึงความเห็นจากแฟน Apple อีกคนอย่างศุภเดช เขาเชื่อว่าราคาเช่นนี้คงไม่เป็นอุปสรรคใดๆ ต่อคนที่รักและชื่นชอบในผลิตภัณฑ์ของ Apple แต่ถ้าผู้ใช้งานทั่วๆ ไปที่กำลังใช้งาน iPhone 7 หรือ 7 Plus อยู่ก็อาจจะไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนมือถือในตอนนี้แต่อย่างใด

     “ถ้าคุยกันในระดับสาวกของ Apple เรื่องราคาคงไม่ใช่ประเด็น ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกขายไตข้างไหนออกมาซื้อมากกว่า แต่ถ้าระดับคนธรรมดาที่เป็นผู้ใช้งานทั่วๆ ไป iPhone 8 หรือ iPhone 8 plus ก็เพียงพอแล้วแหละ เพราะว่าในเชิงประสิทธิภาพก็ใช้ชิปประมวลผลตัวเดียวกัน รองรับระบบชาร์จไร้สายเหมือนกัน ฉะนั้น ถ้าวัดแค่ในเรื่องความคุ้มค่า iPhone 8 หรือ 8 Plus ก็โอเคอยู่แล้ว

     “ส่วนตัวผมคงเลือกที่จะซื้อ iPhone X แต่ถ้าให้แนะนำผู้ใช้ทั่วไป สมมติว่าคุณใช้งาน iPhone 6s แล้วอยากจะเปลี่ยนมือถือก็ซื้อ iPhone 8 ไปก็ได้ หรือถ้างบไหวก็ iPhone X ไปเลย ผมมองว่าในแง่ของประสบการณ์ผู้ใช้งานระหว่าง iPhone 8 และ iPhone X มันไม่ได้ต่างกันมากนัก แล้วถ้าในชีวิตประจำวันการใช้งาน iPhone 7 Plus เคยเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นท็อปของโลกมาก่อน ฉะนั้น iPhone 8 มันก็ได้แหละ”

     ฝั่งขจรที่ถึงแม้เราจะทราบกันเป็นอย่างดีว่าเขาคือหนึ่งในสาวกเดนตายของ Apple แต่เขากลับให้ความเห็นต่อการตัดสินใจซื้อ iPhone X ที่ต่างออกไปและน่าสนใจไม่น้อย โดยบอกว่าในความเป็นจริงแล้ว iPhone X อาจจะไม่มีฟีเจอร์ใดๆ เลยที่จำเป็นต่อการใช้งาน แต่หากคุณอยากได้สมาร์ทโฟนที่บ่งบอกความเป็นตัวเอง หรือได้ลองเทคโนโลยีใหม่ๆ มันก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว

 

 

     “ถ้าว่ากันตามตรง iPhone X ก็ไม่มีฟีเจอร์ไหนเลยที่เราจำเป็นต้องใช้ วัดตามความจำเป็นในการใช้งานจริงๆ มันก็ไม่ได้ช่วยให้เราใช้งานเฟซบุ๊กหรือไลน์ได้ดีขึ้น มันก็เป็นแค่มือถือที่มันเซ็กซี่มากๆ รุ่นหนึ่ง ถามว่าจำเป็นไหมก็ไม่จำเป็นหรอกครับ แต่ว่าถ้าคุณต้องการบ่งบอกความเป็นตัวตนอะไรบางอย่างหรือต้องการลองใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ การยอมจ่ายเงินเพิ่มอีกประมาณ 5-6 พันบาท (เทียบกับ iPhone 7 หรือ 7 Plus) เพื่อให้ได้มือถือที่ล้ำมากๆ ก็อาจจะเหมาะกับคุณ

     “แต่เอาตรงๆ ผมไม่คิดว่า Apple จะออก iPhone X รุ่นแรกแล้วมันจะเพอร์เฟกต์ทันทีนะ มันน่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่างที่ทาง Apple ต้องเผชิญอยู่บ่อยๆ เหมือนตอนที่เปลี่ยนวัสดุตัวเครื่องจากพลาสติกมาเป็นกระจกก็มีปัญหาเรื่องความเปราะบาง หรือเมื่อเปลี่ยนมาใช้อลูมิเนียมก็มีปัญหาเรื่องสีลอก ซึ่งครั้งนี้ Apple ก็เปลี่ยนวัสดุใหม่อีกแล้วเช่นกัน ผมว่ามันก็น่าจะต้องรอดูก่อนว่าคนใช้สินค้าล็อตแรกๆ แล้วผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง เพราะตามความเห็น ทุกครั้งที่ iPhone มีการเปลี่ยนวัสดุ มันก็มักจะมีปัญหาในช่วงแรกๆ ทุกครั้ง

     “ฉะนั้นอย่าพึ่งรีบตัดสินใจ ให้ลองดูก่อน สุดท้ายสมาร์ทโฟนจะดีหรือไม่ดีอย่างไร คุณก็ควรจะไปลองจับของจริง อย่าไปซื้อตามภาพในโฆษณา ซึ่งกว่าจะเข้ามาขายในเมืองไทยมันก็คงจะนานมากๆ เลย”

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising