กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยแพร่รายงานประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจหรือ World Economic Outlook ฉบับใหม่ โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะหดตัว 3% ในปีนี้ จากเดิมที่คาดการณ์ในรายงานฉบับเดือนมกราคมว่าจะขยายตัว 3.3% พร้อมย้ำเตือนอีกครั้งว่าโลกกำลังเผชิญกับภาวะถดถอยครั้งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ในทศวรรษ 1930 สืบเนื่องจากวิกฤตการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกแทบหยุดชะงักลง
IMF ระบุว่าประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วในกลุ่ม G7 จะไม่สามารถหลีกพ้นจากภาวะถดถอยได้ในปีนี้ โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ จะหดตัว 5.9% ซึ่งเป็นการติดลบรายปีที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1946 หรือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นเดียวกับสหราชอาณาจักร, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น และแคนาดา ที่อาจหดตัว 5-7% ขณะที่เศรษฐกิจอิตาลีอาจติดลบเกือบ 10% ในปี 2020
ส่วนภาพรวมทั่วโลก IMF คาดว่า GDP จะเริ่มฟื้นตัวในปี 2021 โดยอาจเติบโตที่ระดับ 5.8% หลังติดลบ 3% ในปีนี้ หากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 บรรเทาลงในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2020 โดยตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้สูงกว่าระดับ 3.4% ในรายงานที่เผยแพร่ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
จิตา โกปินาธ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ IMF ระบุในบทความ The Great Lockdown: Worst Economic Downturn Since the Great Depression ว่า วิกฤตการณ์ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งอื่นๆ เพราะมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบจากโรคระบาดที่มีต่อชีวิตและการดำเนินชีวิตของมนุษย์ โดยปัจจัยส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การระบาด ประสิทธิภาพของมาตรการควบคุมโรค และการพัฒนาวิธีการบำบัดรักษาและวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่งทั้งหมดนี้คาดการณ์ได้ยากมาก
นอกจากนี้หลายประเทศต่างกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่หนักหน่วงในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตด้านสาธารณสุข วิกฤตการเงิน และการทรุดฮวบของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน โดยบรรดาผู้กำหนดนโยบายในประเทศต่างๆ กำลังวางมาตรการเพื่อเยียวยาภาคครัวเรือนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะล็อกดาวน์และชัตดาวน์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มากเกี่ยวกับภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจว่าจะเป็นเช่นไรเมื่อเราออกจากภาวะล็อกดาวน์ครั้งใหญ่นี้แล้ว
โกปินาธระบุว่านี่จะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ Great Depression ที่ประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วกับประเทศเศรษฐกิจกำลังพัฒนาจะเข้าสู่ภาวะถดถอยกันถ้วนหน้า โดยที่การฟื้นตัวของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วจะไม่ถึงจุดสูงสุดที่เคยทำไว้ก่อนเกิดโรคระบาดจนกว่าจะถึงปี 2022 เป็นอย่างน้อย ขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกจะเติบโตที่อัตรา 4.7% ในปี 2021 ส่วนออสเตรเลียก็จะเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1991 ด้วย
ถึงแม้จีนและอินเดียอาจรอดพ้นจากภาวะถดถอยได้อย่างหวุดหวิดในปีนี้ แต่ IMF คาดว่า GDP จีนจะโตชะลอลงเหลือ 1.2% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976 แต่เศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวได้ดีในปีหน้าด้วยอัตราการเติบโตถึง 9.2%
ขณะที่อินเดีย อีกหนึ่งประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ในกลุ่ม G20 จะเติบโตเพียง 1.9% ในปีนี้ ก่อนจะพุ่งขึ้น 7.4% ในปี 2021
โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนยังมีอินโดนีเซียที่อาจรอดพ้นจากภาวะถดถอยอย่างหวุดหวิด แต่โตช้าลงเหลือ 0.5% ในปีนี้ และมีแนวโน้มฟื้นตัวด้วยอัตราการเติบโตสูงถึง 8.2% ในปีหน้า
“ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (Emerging Asia) เป็นภูมิภาคเดียวที่คาดว่าจะยังขยายตัวในปี 2020 (1%) แม้ว่าจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตจากทศวรรษก่อนหน้าถึงกว่า 5 จุด ส่วนภูมิภาคอื่นๆ จะเผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างรุนแรงหรือหดตัว” IMF ระบุ
แต่สำหรับไทยคาดว่าเศรษฐกิจอาจติดลบถึง 6.7% ในปี 2020 ก่อนจะฟื้นตัวที่อัตรา 6.1% ในปี 2021 เช่นเดียวกับเศรษฐกิจมาเลเซียที่อาจหดตัว 1.7%
เป็นที่คาดหมายกันว่าจีนจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเอเชียให้ฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิด-19 ขณะที่รัฐบาลปักกิ่งได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่เป็นระลอก อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าการเติบโตของจีนยังต้องขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวในภูมิภาคอื่นๆ ของโลกด้วย
IMF ระบุด้วยว่าทางกองทุนฯ ได้จัดสรรเงินกู้ฉุกเฉินวงเงินรวม 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ซึ่งรวมถึงการบรรเทาหนี้ให้กับประเทศยากจน
ในช่วงท้ายรายงานชองโกปินาธที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของ IMF ระบุว่า เวลานี้มีสัญญาณบวกว่าวิกฤตสาธารณสุขจะสิ้นสุดลง เพราะหลายประเทศประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่กระจายของโควิด-19 จากมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) การตรวจหาโรคในวงกว้างขึ้น และการติดตามผู้คนที่ติดต่อสัมผัสผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนการรักษาและการคิดค้นวัคซีนก็คาดว่าจะสำเร็จเร็วกว่าที่คาดไว้
ในระหว่างที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนครั้งใหญ่เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ IMF แนะว่าภาครัฐและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรดำเนินมาตรการตอบสนองต่อวิกฤตทั้งในประเทศและระหว่างประเทศที่ยกระดับทั้งขนาดและความรวดเร็ว โดยสิ่งสำคัญคือความสอดคล้องระหว่างมาตรการสาธารณสุขที่รวมถึงการทำงานของบุคลากรแพทย์และมาตรการของผู้กำหนดนโยบายทั่วโลก เพื่อที่จะสามารถเอาชนะวิกฤตนี้ไปได้ร่วมกัน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/news/business-52273988
- https://www.theguardian.com/business/live/2020/apr/14/stock-markets-china-trade-global-recession-imf-forecasts-covid-19-business-live
- https://www.cnbc.com/2020/04/14/imf-global-economy-to-contract-by-3percent-due-to-coronavirus.html
- https://www.imf.org/en/News/Articles/2020/04/14/tr041420-transcript-of-april-2020-world-economic-outlook-press-briefing
- https://www.channelnewsasia.com/news/business/covid19-chinaindia-recession-imf-12641308
- https://blogs.imf.org/2020/04/14/the-great-lockdown-worst-economic-downturn-since-the-great-depression/