Goldman Sachs Group ระบุว่า นักลงทุนควรทิ้งหุ้นสหรัฐฯ และหันไปหาหุ้นจีนที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นฮ่องกง
“ปีนี้อารมณ์ของตลาดต่อสินทรัพย์ลงทุนที่อิงกับจีนค่อนข้างเงียบเหงา และยังไม่สะท้อนการยอมรับความเสี่ยงที่จะฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมา” คริสเตียน มึลเลอร์-กลิสส์แมนน์ นักกลยุทธ์ของ Goldman Sachs ระบุผ่านรายงานเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ซีอีโอ JPMorgan เตือน เศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยภายใน 6-9 เดือน
- หุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาปิดบวกถึง 800 จุด จากที่ร่วงหนักกว่า 500 จุด หลังการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.ย.
- สหรัฐฯ รายงานเงินเฟ้อเดือน ก.ย. ที่ 8.2% สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ หุ้นสหรัฐฯ ดิ่งทันที!
เมื่อพิจารณาจากออปชันของสินทรัพย์ลงทุนที่อิงกับจีนในขณะนี้อย่าง Hang Seng China Enterprises Index (HSCEI) จะเห็นว่าอยู่ในระดับที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา
ความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายการเงินตึงตัวของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เป็นปัจจัยหลักที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่สินทรัพย์ลงทุนของจีน เช่น ตลาดหุ้น กลับถูกกดดันด้วยปัจจัยที่แตกต่างออกไปคือ มาตรการควบคุมโควิด วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ และความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ดัชนี HSCEI ลดลง 31% เทียบกับการหดตัวลง 23% ของดัชนี S&P 500 อย่างไรก็ตาม Goldman Sachs ได้ตั้งข้อกังวลเกี่ยวกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อเดือนก่อน ในประเด็นเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะกระทบต่อมูลค่าหุ้น
แม้แต่ มาร์โค โคลาโนวิก นักกลยุทธ์ของ JPMorgan Chase & Co. ผู้ที่มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปีนี้ ก็ปรับลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลงจากภาพรวมการกระจายพอร์ตในขณะนี้ เนื่องจากความเสี่ยงเกี่ยวกับนโยบายของ Fed และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์
โดยภาพรวมแล้ว Goldman Sachs ให้น้ำหนัก ‘หุ้น’ น้อยกว่าตลาด (Underweight) เทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ ในพอร์ตลงทุน แต่ยังคงให้น้ำหนักตลาดหุ้นจีนมากกว่าตลาด (Overweight) ขณะที่มีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) สำหรับหุ้นดัชนี S&P 500
ทั้งนี้ Goldman Sachs มองว่า หุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ (A-Shares) มากกว่าหุ้นจีนที่จดทะเบียนนอกประเทศ เนื่องจากหุ้นจีน A-Shares ได้รับอิทธิพลจากเศรษฐกิจโลกต่ำกว่า
อ้างอิง: