×

จากฟลอร์หญ้าสู่ผืนผ้าใบ การเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิตของ ‘ริโอ เฟอร์ดินานด์’

21.09.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • ริโอ เฟอร์ดินานด์ ในวัย 38 ปี ประกาศว่าเขาตัดสินใจที่จะเบนเข็มสู่เส้นทางของการเป็นนักมวยอาชีพ โดยได้รับการสนับสนุนจาก Betfair บริษัทรับพนันถูกกฎหมายแห่งหนึ่งภายใต้แคมเปญสวยหรูว่า ‘Defender to Contender’ หรือ ‘จากปราการหลังสู่ผู้ท้าชิง’
  • สำหรับเฟอร์ดินานด์ สิ่งที่เขาต้องการจากการขึ้นชกมวยอาชีพไม่ใช่เรื่องของรายได้เป็นหลัก และมันก็ไม่ใช่ความฝันอะไรในชีวิต สิ่งที่เขาต้องการคือการปลดปล่อย ‘ความโศกเศร้า’ จากการสูญเสียภรรยาสุดที่รัก รีเบกกา ที่จากไปด้วยโรคมะเร็งทรวงอกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
  • คำถามสำคัญที่หลายคนอยากรู้คือ เฟอร์ดินานด์ต้องการจะไปให้ไกลถึงไหนในเส้นทางใหม่นี้ และเขาจริงจังแค่ไหนกับมวย? เป้าหมายของเขาอยู่ที่ไหน? แชมป์โลก? แชมป์ประเทศ? หรือแค่ต้องการชกให้สาแก่ใจ?

     ภาพของ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่สวมนวมและนุ่งกางเกงมวยตัวเดียวไม่ใช่ภาพที่คุ้นตานัก

     และข่าวการประกาศขึ้นชกมวยอาชีพของเขาก็สร้างความตื่นตะลึงให้แก่วงการกีฬาอย่างมาก

     เฟอร์ดินานด์ในวัย 38 ปี ประกาศว่าเขาตัดสินใจที่จะเบนเข็มสู่เส้นทางของการเป็นนักมวยอาชีพ โดยได้รับการสนับสนุนจาก Betfair บริษัทรับพนันถูกกฎหมายแห่งหนึ่งภายใต้แคมเปญสวยหรูว่า ‘Defender to Contender’ หรือ ‘จากปราการหลังสู่ผู้ท้าชิง’

     การตัดสินใจของเขาผู้ซึ่งเป็นปราการหลังระดับตำนานของวงการฟุตบอลอังกฤษ เป็นอดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษ และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นำไปสู่การถกเถียงอย่างมาก

     โดยเฉพาะเรื่องของสุขภาพ เพราะการชกมวยอาชีพของคนอายุ 38 ปีที่ทั้งชีวิตไม่เคยใช้ชีวิตเยี่ยงนายสังเวียนมาก่อนดูเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก

     แต่ถึงจะดูเป็นการตัดสินใจที่ยากจะเข้าใจสำหรับคนทั่วไป สำหรับเฟอร์ดินานด์ นี่คือการตัดสินใจที่เขาคิดไตร่ตรองมาอย่างดีครับ

     เขารู้ดีว่าเขาต้องการอะไร

     และทำเพื่อใคร

 

 

การปลดปล่อยทางจิตวิญญาณ

     หากจะมีใครสักคนที่เคยประสบความสำเร็จอย่างมากในเส้นทางชีวิตและหน้าที่การงานของตัวเอง ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนไปทำอะไรใหม่ที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ใต้การตัดสินใจนั้นย่อมมีเหตุผลที่สำคัญอย่างมากเป็นแรงผลักดัน

     อาจจะเพื่อการดำรงชีพ เพื่อความฝัน หรือเพื่ออะไรสักอย่าง

     อะไรสักอย่างที่คนอื่นอาจจะเข้าใจ หรืออาจจะไม่เข้าใจเลยก็ได้ ซึ่งมันไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะสิ่งสำคัญคือการที่คนๆ นั้นได้ตัดสินใจที่จะ ‘ทำ’ แล้ว

     สำหรับเฟอร์ดินานด์ สิ่งที่เขาต้องการจากการขึ้นชกมวยอาชีพไม่ใช่เรื่องของรายได้เป็นหลัก และมันก็ไม่ใช่ความฝันอะไรในชีวิต

     สิ่งที่เขาต้องการคือการปลดปล่อย ‘ความโศกเศร้า’ จากการสูญเสียภรรยาสุดที่รัก รีเบกกา ที่จากไปด้วยโรคมะเร็งทรวงอกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

     ความเศร้าที่กัดกินหัวใจและตัวตนของเขาจนครั้งหนึ่งเคยเกือบรับมือไม่ไหว

 

 

     ต้นปีที่ผ่านมา เฟอร์ดินานด์เคยเผยแพร่สารคดีที่กินใจที่สุดเรื่องหนึ่งทางสถานีโทรทัศน์ BBC เกี่ยวกับชีวิตหลังการสูญเสียกับการที่ต้องเป็น ‘พ่อเลี้ยงเดี่ยว’ ดูแลลูกๆ 3 คนแทนที่ภรรยาที่ไม่สามารถช่วยดูแลได้อีกต่อไปในโลกนี้

     จากชีวิตนักฟุตบอลอาชีพที่ไม่เคยคิดถึงเรื่องอื่นใดนอกจากการลงสนามทำหน้าที่ของตัวเอง การต้องใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่นบ้างเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อน

     และมันไม่ต่างอะไรจากคลื่นสึนามิที่ซัดถล่มชีวิตจนลุกขึ้นยืนแทบไม่ไหว

     หรือถ้าเปรียบเป็นเกมฟุตบอล ก็ไม่ต่างอะไรจากการโดนทีมคู่แข่งขึงพืดปูพรมบุกถล่มทั้งซ้ายและขวาจนทำอะไรไม่ได้นอกจากสกัดบอลทิ้งไปให้ไกลเขตโทษที่สุดก่อน

     มันไม่ใช่วิสัยของหนึ่งในกองหลังผู้สง่างามที่สุดในประวัติศาสตร์โลกฟุตบอลอย่างเขา

     2 ปีผ่านมาหลังจากความสูญเสีย เฟอร์ดินานด์กลับมาตั้งหลักชีวิตตัวเองได้อีกครั้ง เขารับมือกับทุกอย่างได้ดีขึ้นตามลำดับและเริ่มกลับมามีความสุขอีกครั้ง

     แต่หากใครเคยสูญเสียจะเข้าใจว่า หากลองหัวใจได้ถูกกรีดไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน บาดแผลของความสูญเสียนั้นยังอยู่

     เฟอร์ดินานด์เองก็เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเขาเพิ่งสูญเสียคุณแม่ไปอีกคนเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาด้วยโรคร้ายเดียวกับที่เคยพรากรีเบกกาไปจากเขา

     ความโศกเศร้านั้นยังอยู่ และเขาจำเป็นต้องปลดปล่อยมันออกไป

     “ในการรับมือกับความโศกเศร้า เราจำเป็นต้องมีเป้าหมายในชีวิต และนี่คือเป้าหมายของผม”

     การชกมวยคือหนทางในการเยียวยาหัวใจที่เป็นแผลสำหรับเฟอร์ดินานด์

     การตัดสินใจครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นการทำเพื่อใคร

     มันเป็นการตัดสินใจเพื่อตัวเขาเองคนเดียวเท่านั้น

     โดยมีผลพลอยได้คือการที่ลูกๆ ของเขาจะได้เห็นความมีวินัยของพ่อที่เอาจริงเอาจังกับชีวิต และหวังว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตในช่วงเวลานี้ไปพร้อมกันด้วย

 

 

การก้าวผ่านพรมแดนที่เต็มไปด้วยคำถาม

     แต่ไม่ว่าเฟอร์ดินานด์จะพูดอะไรก็ตาม การตัดสินใจนี้นำมาซึ่งคำถามเสมอ

     คำถามสำคัญที่หลายคนอยากรู้คือ เฟอร์ดินานด์ต้องการจะไปให้ไกลถึงไหนในเส้นทางใหม่นี้ และเขาจริงจังแค่ไหนกับมวย?

     เป้าหมายของเขาอยู่ที่ไหน? แชมป์โลก? แชมป์ประเทศ? หรือแค่ต้องการชกให้สาแก่ใจ?

     เรื่องนี้เฟอร์ดินานด์ยืนยันว่า เขา ‘จริงจัง’ และ ‘จริงใจ’ กับกีฬานี้ เขาเคารพในกีฬาการต่อสู้บนสังเวียนผืนผ้าใบและไม่ได้มองเห็นมวยเป็น ‘ของเล่น’

     ที่สำคัญคือเขารู้ว่าเล่นกีฬาชนิดนี้เล่นแล้ว ‘เจ็บตัว’ แต่เขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน

     “ผมรู้ว่าผมต้องเจ็บตัว มันเป็นสิ่งที่ผมต้องคิดถึงอยู่แล้ว แต่ในเกมกีฬาทุกประเภทก็ล้วนมีอันตราย โดยเฉพาะในฟุตบอล ถึงมันอาจจะไม่ได้ดูอันตรายแบบนั้น แต่เราต่างก็เคยเห็นนักฟุตบอลที่เสียชีวิตในสนามมาแล้ว

     “ผมเป็นแฟนมวยตัวยง และผมก็อยากแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่ากีฬาประเภทนี้มันเป็นอย่างไร ในทางร่างกายและจิตใจแล้วผมกำลังจะก้าวไปในดินแดนที่ผมไม่รู้จัก พวกคุณสามารถตื่นตอนเช้าในขณะที่ฟ้ายังมืดสนิทและฝนตกลงมาเพื่อออกไปวิ่งได้ไหม? พวกคุณรับหมัดพวกนี้ในการซ้อมชกได้หรือเปล่า”

     ด้าน แบร์รี ออร์ ผู้อำนวยการสื่อสาร Betfair ยืนยันว่า การตัดสินใจเดินหน้าสู่การเป็นนักมวยอาชีพของเฟอร์ดินานด์นั้นมีเหตุผลอยู่บนพื้นฐานของกีฬาเป็นหลัก โดย Betfair ไม่ได้หวังจะใช้เขาในฐานะเครื่องมือการประชาสัมพันธ์ (แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ)

     เช่นกันกับความกังวลในเรื่องสุขภาพของอดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษที่จะเป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก

     เฟอร์ดินานด์จะได้รับการฝึกสอนโดย ริชี วูดฮอลล์ อดีตแชมป์โลกและเป็นผู้ฝึกสอนมวยของทีมสหราชอาณาจักร (Team GB) โดยเขาจะต้องฝึกฝนเป็นเวลา 10-12 สัปดาห์ก่อนขึ้นชกเท่านั้น และยังต้องขอใบอนุญาตเพื่อชกมวยอาชีพจาก British Boxing Board of Control อีก ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

     ต่อให้ฝึกเสร็จ เขาอาจจะมีโอกาสได้ขึ้นชกในระดับแค่มวย 4 ยกเท่านั้น

     บางคนยังคาดเดาล่วงหน้าว่าเฟอร์ดินานด์อาจจะได้ขึ้นชกแค่ไฟต์เดียวด้วยซ้ำครับ เพราะแค่หนึ่งไฟต์กับสารคดีชีวิตของการหันเหไปสู่การเป็นนักมวยก็นับว่าอาจจะเพียงพอแล้วสำหรับตัวเขาที่ได้ก้าวผ่านพรมแดนชีวิต ได้ปลดปล่อยโซ่ตรวนแห่งความทุกข์ที่พันธนาการหัวใจ และรายได้ที่คาดว่าจะสูงถึง 250,000 ปอนด์สำหรับการรับ ‘ความท้าทาย’ จาก Betfair ในครั้งนี้

     ขณะที่ฝ่ายเจ้าของเงินอย่าง Betfair ก็ได้ชื่อเสียงตามไปด้วย

     ตรงนี้เองที่คนในวงการมวยไม่สบายใจนัก หลายคนกังวลว่าการที่เฟอร์ดินานด์ตัดสินใจชกมวยอาชีพตามหลัง ‘Fight of the Century’ ระหว่าง ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ และคอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ จะทำให้ภาพลักษณ์และความสง่างามของกีฬาต่อสู้สุภาพบุรุษนั้นเสื่อมเสียและถูกมองเป็นเรื่อง ‘ตลก’ ที่ใครจะมาเล่นตลกเมื่อไรก็ได้

     ความจริงในอังกฤษเองก็เคยมีกรณีคล้ายกันเมื่อ แอนดรูว์ ฟลินต์ฮอฟฟ์ อดีตกัปตันทีมคริกเก็ตอังกฤษ หันเหมาชกมวยหลังเลิกเล่นคริกเก็ตอาชีพ และมีการโปรโมตไฟต์อย่างดี รวมถึงมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ด้วย

     สุดท้ายมันก็เป็นไฟต์ที่ไม่มีใครอยากจำ

 

 

     อย่างไรก็ดี หากมองในอีกแง่ความกล้าหาญในการตัดสินใจของใครคนหนึ่งที่กล้าจะก้าวไปสู่พรมแดนใหม่ที่ไม่เคยรู้จัก จะทำมากหรือน้อย จะสำเร็จหรือล้มเหลว ผมคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่น่ายกย่องมากกว่าเยาะเย้ย

     ในเวลาที่ผู้คนอาจจะยิ้มอ่อนเมื่อเห็นความล้มเหลวของสุดยอดนักกีฬาอย่าง ไมเคิล จอร์แดน ตำนานตลอดกาลของ NBA ล้มเหลวกับการเล่นเบสบอล เปาโล มัลดีนี แพ้ยับในการลงแข่งขันเทนนิสอาชีพนัดแรกและนัดเดียวของเขาภายในเวลาแค่ 42 นาที และคอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ จอมยโส ถูกจับ TKO ต่อโคตรมวยอย่าง ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์

     ผู้แพ้เหล่านี้ต่างยิ้มกว้างอย่างมีความสุขเมื่อทุกอย่างจบลง

     เพราะแค่การกล้าที่จะเปลี่ยน ก็นับเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตแล้ว

 

อ้างอิง:

FYI
  • ริโอ เฟอร์ดินานด์ ไม่ใช่คนในวงการฟุตบอลคนแรกที่หันเหสู่วงการมวย ก่อนหน้านี้มี ลีออน แม็กเคนซี ที่แขวนสตั๊ดไปชกมวยอาชีพในวัย 35 ปี ซึ่งอาจจะช้าไปนิด แต่อีกคนที่ทำได้เยี่ยมคือ เคอร์ติส วูดเฮาส์ ที่บอกลาเกมลูกหนังและไปคว้าแชมป์อังกฤษในรุ่น ไลต์-เวลเตอร์เวตได้ในวัย 26 ปี
  • อีกคนที่ช็อกโลกคือ ทิม วีเซ อดีตผู้รักษาประตูทีมชาติเยอรมนี ที่หันเหไปเล่นมวยปล้ำ WWE ด้วยสมญา ‘The Machine’ พร้อมท่าไม้ตาย Running Splash!
  • แม้จะยังไม่มีการกำหนดคู่ชกของเฟอร์ดินานด์ในไฟต์แรก แต่ ‘วงใน’ ของ Betfair เชื่อว่าเฟอร์ดินานด์มีศักยภาพถึงระดับแชมป์ประเทศ
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising