×

รอยยิ้มของ แบรดลีย์ โลเวอรี นักสู้ตัวน้อยผู้ยิ่งใหญ่

09.06.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • 13 กันยายนปีที่แล้ว คือวันแรกที่เราได้เห็นเด็กน้อยตัวเล็กนิดเดียวสวมชุดซันเดอร์แลนด์ เดินจูงมือเจอร์เมน เดโฟ ลงสนามในเกมกับเอฟเวอร์ตัน หลังจากนั้นเรื่องราวการต่อสู้ของแบรดลีย์ โลเวอรี ได้รับการเผยแพร่โดยมีเป้าหมายในการระดมทุนให้มากที่สุด
  • Neuroblastoma หรือมะเร็งต่อมหมวกไต คือชื่อโรคที่เจ้าหนูแบรดลีย์ต้องเผชิญมาเกือบตลอดชีวิต โดยกรณีของแบรดลีย์ มีการตรวจพบมะเร็งเมื่ออายุเพียงขวบครึ่ง ขณะที่เนื้อร้ายดังกล่าวก็เติบโตและลุกลามอย่างรวดเร็ว
  • นอกจากรอยยิ้มของแบรดลีย์จะทำให้คนที่ท้อแท้กลับมามีกำลังใจอีกครั้งแล้ว ชีวิตของเขายังเป็นตัวจุดประกายให้เกิดกองทุน Bradley Lowery Foundation ที่ตั้งขึ้นเพื่อหาทุนช่วยเหลือเด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมหมวกไตเหมือนกับเขาอีกด้วย

     “เหลือเวลาแค่ไม่กี่สัปดาห์”

     ข้อความสั้นๆ ภายในเนื้อข่าวเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางข่าวกระแสหลักที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของตลาดนักเตะ การซื้อขายผู้เล่นระดับพันล้าน และเรื่องราวของซูเปอร์สตาร์ลูกหนังมากมาย ทำให้ผมรู้สึกคล้ายหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ

     มันอาจเป็นแค่ความรู้สึก แต่ชัดเจน

     ข่าวดังกล่าวเป็นเรื่องราวของ แบรดลีย์ โลเวอรี (Bradley Lowery) เจ้าหนูน้อยที่ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะพอทราบเรื่องราวของเขามาบ้างไม่มากก็น้อย หรืออย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเคยได้เห็นหน้าค่าตาของเด็กน้อยคนนี้มาบ้างผ่านการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่ผ่านมา

     แบรดลีย์จะปรากฏกายในชุดลายทางสีแดง-ขาวของทีม ‘แมวดำ’ ซันเดอร์แลนด์ พร้อมกับ ‘คู่หู’ ที่เป็น ‘ไอดอล’ ในดวงใจของเขาอย่างเจอร์เมน เดโฟ เสมอ

     หากไม่ทราบเรื่องราวมาก่อนเลยแล้วมองภาพการเดินลงสนามด้วยกันของคู่นี้ จะเห็นภาพเจ้าหนูแบรดลีย์ไม่ยอมห่างจากเดโฟ ศูนย์หน้าหมายเลขหนึ่งของทีมเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นภาพที่น่าเกลียดน่าชังอยู่ไม่น้อย เห็นแล้วก็อดอมยิ้มตามไม่ได้

     แต่หากใครพอทราบเรื่องราวของเจ้าหนูแบรดลีย์มาบ้างจะรู้สึกไปอีกแบบ

     เพราะทุกครั้งที่หนูน้อยปรากฏตัว มันหมายถึงระยะเวลาและความหวังนั้นเหลือน้อยลงไปทุกที

     จนถึงวันนี้ ฤดูกาลฟุตบอลได้จบลงแล้ว

     เดโฟเองก็ตัดสินใจอำลาซันเดอร์แลนด์ที่ตกชั้นเพื่อย้ายไปเล่นให้กับบอร์นมัธ เพื่อรักษาโอกาสและความหวังในการติดทีมชาติอังกฤษ

เจ้าหนูแบรดลีย์เองก็เหลือเวลาแค่ไม่นานที่จะได้อยู่กับพวกเรา

 

เจ้าหนูแบรดลีย์ แฟนบอลตัวน้อยของซันเดอร์แลนด์ กับหัวใจที่แข็งแกร่ง

     Neuroblastoma คือชื่อโรคที่แบรดลีย์ต้องเผชิญมาเกือบตลอดชีวิตที่แสนสั้น

     โรคชื่อเรียกยากที่ว่านี้คือโรคมะเร็งนิวโรบลาสโตมา หรือมะเร็งต่อมหมวกไต ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบได้ยากในเด็กแรกเกิด โดยกรณีของแบรดลีย์ มีการตรวจพบมะเร็งเมื่ออายุเพียงขวบครึ่ง และมะเร็งก็ได้เติบโตลุกลามอย่างรวดเร็ว

     ด้วยความที่เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อย ในอังกฤษจึงมีเด็กน้อยที่ป่วยเป็นโรคนี้เพียงปีละ 100 คน ทำให้การรักษาเป็นเรื่องที่ยากด้วยเช่นกัน แม้กระทั่งในประเทศที่เจริญทางวัตถุแล้วอย่างอังกฤษเองก็ไม่สามารถทำการรักษาอย่างเหมาะสมได้ โดยความหวังในการรักษามีปลายทางที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

     แต่มันหมายถึงเงินจำนวนมหาศาลที่ครอบครัวโลเวอรี ซึ่งต่อสู้ด้วยชีวิตเพื่อชีวิตของเจ้าหนูแบรดลีย์มาตลอดก็ยังสู้ไม่ไหว

     700,000 ปอนด์ คือจำนวนเงินที่ต้องการเพื่อรักษาหนูน้อยคนนี้

     นั่นเป็นที่มาของการเผยแพร่เรื่องราวของเด็กน้อยที่ปวารณาตนเป็นสาวก Black Cats ต่อทุกคนครับ

     13 กันยายนปีที่แล้ว คือวันแรกที่เราได้เห็นเด็กน้อยตัวเล็กนิดเดียวสวมชุดซันเดอร์แลนด์ที่ดูหลวมโคร่ง เดินจูงมือเจอร์เมน เดโฟ ลงสนามในเกมกับเอฟเวอร์ตัน

     หลังจากนั้นเรื่องราวการต่อสู้ของแบรดลีย์ก็ได้รับการเผยแพร่โดยมีเป้าหมายในการระดมทุนให้มากที่สุด ซึ่งทีมคู่แข่งในวันนั้นอย่างเอฟเวอร์ตันก็ร่วมมอบเงินช่วยเหลือมากถึง 200,000 ปอนด์เพื่อเจ้าหนูแบรดลีย์ รวมถึงจากแฟนบอลซันเดอร์แลนด์​ แฟนบอลทีมอื่น และคนทั่วไปที่รับทราบเรื่องราวของเขาเองก็ร่วมด้วยช่วยกัน

     ณ เข็มนาฬิกาตอนนั้น ทุกคนยังเชื่อว่าอาจจะมี ‘ปาฏิหาริย์’ เกิดขึ้น

     แต่สำหรับแบรดลีย์ ปาฏิหาริย์นั้นได้เกิดขึ้นกับเขาแล้ว

     ในวินาทีที่เขาได้พบกับเดโฟที่อุโมงค์ใต้สนามสเตเดียมออฟไลต์

 

ความสุขที่หล่อเลี้ยงหัวใจดวงน้อยๆ

     เสียงของเอลลี โกลดิง ในบทเพลง How Long Will I Love You ยังดังขึ้นอย่างไม่รู้จบ

     ผมกดฟังบทเพลงนี้พลางคิดถึงฉากหนึ่งในหนังเรื่องโปรด About Time ที่ปรากฏขึ้นในความคิดระหว่างที่เขียนเรื่องราวของเจ้าหนูแบรดลีย์

     ฉากดังกล่าวคือฉากที่ทิม เลก พระเอกซึ่งเกิดในครอบครัวของผู้มีพลังพิเศษในการ ‘ย้อนเวลา’ เพื่อกลับไปแก้ไขสิ่งต่างๆ ในอดีตได้ กำลังนั่งคุยกับเจมส์ เลก พ่อของเขา หลังทราบว่าพ่อกำลังป่วยเป็นมะเร็ง

     แต่ความหวังของทิมก็ดับลง เมื่อพ่อซึ่งปิดบังความเจ็บป่วยมานานเปิดเผยว่าความสามารถในการย้อนเวลาไม่สามารถช่วยอะไรได้ในเรื่องนี้

     ไม่ใช่ว่าเจมส์ เลก จะไม่เดินทางย้อนกลับไปในอดีต เขายังเดินทางย้อนกลับไปในอดีตเสมอ

     เพียงเพื่อใช้เวลาร่วมกับครอบครัวให้มากขึ้นอีกนิด

     ตราบเท่าที่ยังมีเวลาเหลืออยู่

     สำหรับเจ้าหนูแบรดลีย์ แม้ว่าแพทย์จะแจ้งข่าวร้ายที่ไม่ต่างอะไรจากการกรีดมีดลงบนหัวใจคนอังกฤษทั้งประเทศที่พยายามเอาใจช่วยอยู่ว่าโรคร้ายของเขาจะไม่มีทางรักษาหาย และเวลาชีวิตของเขาเหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น

     แต่ในอีกมุม ผมรู้สึกว่าเจ้าหนูคนนี้อาจจะมีชีวิตที่คุ้มค่ากว่าใครหลายคนที่มีชีวิตที่ยืนยาวกว่าเขามากมาย

     อย่างน้อยที่สุดเขาก็เคยสัมผัสความรู้สึก ‘มีความสุขที่สุดในโลก’ ว่ามันทำให้หัวใจเต้นแรงขนาดไหน

     ไม่ว่าจะวันที่ได้พบและเดินจูงมือเดโฟลงสนาม ทั้งในยามเล่นให้กับซันเดอร์แลนด์และในเกมของทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเดโฟได้โอกาสกลับมาติดทีมชาติอีกครั้งในวัย 34 ปี

     หรือในวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 6 ขวบ ในงานปาร์ตี้ที่เหมือนฝันสำหรับเขา หรือการ์ดอวยพรวันคริสต์มาสกว่า 28,000 ใบที่ถูกส่งมาถึงเขา

 

ลมหายใจอ่อนโยนที่ช่วยต่อลมหายใจให้กับผู้อื่น

     เจอร์เมน เดโฟ ยอมรับว่าเขายัง ‘ทำใจไม่ได้’ เมื่อทราบข่าวร้ายว่าเวลาของเพื่อนตัวน้อยใกล้จะหมดลง

     ทุกเช้าหลังตื่นนอนเขาจะส่งข้อความไปหาเจมมา แม่ของแบรดลีย์ เพื่อถามไถ่อาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งแม้คำตอบที่ได้รับคือ “เขาโอเค” แต่ความจริงเดโฟเองก็รู้ไม่แตกต่างจากคนอื่นๆ ว่า มันไม่โอเค เพราะเจ้าหนูของเขากำลังจะหมดแรง…

     แต่กระนั้น แบรดลีย์ก็ยังมีรอยยิ้มให้ทุกคน

     ในสถานะล่าสุดที่มีการอัพเดตเรื่องราวของเขาบอกว่า “แบรดลีย์หลับเป็นส่วนมาก แต่ถ้าเขาตื่น เขาจะลุกขึ้นมาเล่นนิดๆ หน่อยๆ และมอบรอยยิ้มที่น่ารักให้แก่ทุกคน เราพยายามใช้ทุกเวลาที่เหลืออยู่อย่างมีความหมาย และเก็บเกี่ยวทุกวินาทีกับเขาให้ได้มากที่สุด”

     ให้เขามีความสุขมากที่สุด

     เดโฟเองก็ตั้งใจว่า ทันทีที่เขาเสร็จสิ้นภารกิจในการรับใช้ทีมชาติอังกฤษที่มีโปรแกรมจะอุ่นเครื่องกับทีมชาติฝรั่งเศสในสัปดาห์หน้า เขาจะพยายามหาเวลาไปเจอมิตรรักต่างวัยของเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

     แม้ทั้งหมดจะดูเหมือนทุกคนพยายามทำเพื่อหนูน้อยคนนี้

     แต่ในทางกลับกัน แบรดลีย์เองก็เป็นฝ่ายมอบอะไรหลายอย่างให้แก่คนรอบกายด้วยเช่นกัน

     โดยเฉพาะ ‘กำลังใจ’ ที่ถูกส่งผ่าน ‘รอยยิ้ม’ แสนบริสุทธิ์ที่มีให้แก่ทุกคนในทุกวันเวลาของชีวิต

     มันคือรอยยิ้มของนักสู้ผู้น่ารักที่ไม่เคยเกรงกลัวแม้คมเคียวของพญามัจจุราช

     รอยยิ้มและเรื่องราวของเขาทำให้คนที่ท้อแท้กลับมามีกำลังใจ เพราะขนาดเด็กตัวน้อยที่ป่วยหนักจนแทบไม่เหลือความหวังใดๆ ยังไม่คิดจะท้อ และยังพร้อมจะต่อสู้จนนาทีสุดท้ายของชีวิต

     รอยยิ้มนั้นยังสอนให้ใครอีกหลายคนได้ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต และน่าจะมีหลายคนที่พยายามทำทุกวันให้ดีที่สุด ใช้เวลาทุกวินาทีที่มีอยู่ให้มีความสุขมากที่สุด

     ‘ชีวิต’ ของเขายังเป็นตัวจุดประกายให้เกิดกองทุน Bradley Lowery Foundation ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อหาทุนในการช่วยเหลือเด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งนิวโรบลาสโตมาเหมือนกับเขา รวมถึงการที่สังคมได้รับรู้เรื่องราวของโรคร้ายนี้ว่ามีอยู่บนโลกก็ถือเป็นคุณูปการที่ยิ่งใหญ่มากแล้ว

     ผมเองยังไม่มั่นใจเลยว่า ตลอดชีวิตนี้จะทำอะไรให้แก่โลกใบนี้ได้มากเท่าเขาหรือเปล่า

     มากที่สุดที่ผมทำได้เวลานี้คือการบอกเล่าเรื่องราวนี้ต่ออีกสักครั้ง ด้วยความหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อหัวใจของใครสักคน

     ขอบคุณสำหรับรอยยิ้มที่สดใส และยินดีที่ได้รู้จักกันนะแบรดลีย์

     ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เราจะสู้กับมันด้วยรอยยิ้ม

 

ภาพประกอบ: Karin Foxx

FYI
  • สามารถบริจาคเพื่อสมทบกองทุน Bradley Lowery Foundation ได้ที่ www.justgiving.com/crowdfunding/bradleylowerysfight
  • แบรดลีย์ได้รับรางวัลประตูยอดเยี่ยมจากลูกที่เขายิงอัสเมียร์ เบโกวิช ได้ในเกมที่ซันเดอร์แลนด์พบเชลซี โดยได้เป็นประตูยอดเยี่ยมคู่กับลูก ‘สกอร์เปียนคิก’ ของเฮนริก มคิทาร์ยาน
  • เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา แบรดลีย์ได้รับรางวัล Child of Courage Award จากการที่เขาระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลประโยชน์ส่วนตน, บุคลิกความกล้าหาญส่วนตัว และความสามารถในการก้าวผ่านอุปสรรคในชีวิตได้ โดยวันนั้นเจ้าหนูแบรดลีย์สวมสูท (อย่างหล่อ) ไปรับรางวัลพร้อมกับคู่หูของเขา เจอร์เมน เดโฟ
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising