×

เป้าหมายใหญ่ GMM SHOW ทุ่มปั้นแบรนด์คอนเสิร์ตให้สำเร็จชนิดที่ว่าขายบัตรเมื่อไรก็ Sold Out ได้ทันที

31.08.2024
  • LOADING...

หลายคนอาจตั้งคำถามว่าในภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อไม่ค่อยเอื้อต่อการให้ฟุ่มเฟือยมากนัก แต่ทำไมในปี 2567 งานคอนเสิร์ตทั้งไทยและต่างประเทศถึงได้คึกคักสุดๆ ชนิดที่ว่าขายบัตรเมื่อไรก็ Sold Out โดยเฉพาะ GMM SHOW โปรโมเตอร์รายใหญ่ในเครือ GMM MUSIC ออกมาเผยสถิติคนไทยซื้อบัตรดูคอนเสิร์ตกว่า 3 ครั้งต่อปี พร้อมประกาศปั้นธุรกิจ Showbiz ไปสู่ระดับโลก

 

ทีมงาน THE STANDARD WEALTH มีโอกาสร่วมวงสัมภาษณ์ ป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม Senior Executive Vice President – Showbiz หน่วยงาน GMM SHOW บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด ฉายภาพว่า จากนี้ไปธุรกิจ Showbiz มีแนวโน้มสดใสและเติบโตขึ้นอย่างมาก

 

สะท้อนได้จากจำนวนงานคอนเสิร์ตทั้งไทยและต่างประเทศปัจจุบันมีมากกว่า 600 งาน แม้เศรษฐกิจและกำลังซื้อจะไม่เอื้อมากนัก แต่ผู้คนยังต้องการเสพความบันเทิง เพื่อหาความสุขและประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับตัวเอง

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

เป้าหมาย GMM SHOW ลุยปั้นแบรนด์ให้สำเร็จเหมือน Tomorrowland

 

ป๋าเต็ดฉายภาพต่อไปว่า GMM SHOW แม้จะเป็นโปรโมเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย แต่สิ่งสำคัญต้องได้โครงสร้างทีมให้สามารถยืนต่อไปได้ระยะยาว เราไม่ชอบคิดงานใหม่ทุกปี เพราะฉะนั้นการโฟกัสการสร้างแบรนด์จึงเป็นเรื่องสำคัญ เราอยากให้มิวสิกเฟสติวัลสำเร็จและอยู่ได้ในระยะยาว

 

แน่นอนว่าหัวใจสำคัญคือการวาง Starigie ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ให้คนดูรู้ว่ามางานคอนเสิร์ตคาดหวังว่าจะได้เห็นอะไร และอยากทำให้ได้เหมือน Tomorrowland ที่ทุกคนรู้ว่าไปแล้วจะได้อะไร เราอยากเป็นแบบนั้น ที่ประกาศจัดงานแล้ว Sold Out ได้ทันที นั่นคือเป้าหมายใหญ่ของเรา

 

 

ที่ผ่านมาการจัดงานของ GMM SHOW ทุกครั้ง หลายๆ งานขายบัตรหมดทุกครั้ง แต่เราต้องการให้บัตรหมดทุกครั้งที่ประกาศขาย ซึ่งก็ไม่ง่ายเลยเพราะการแข่งขันสูงมาก ในแต่ละปีมีการจัดงานมากถึง 600 อีเวนต์ ซึ่งยังไม่รวมงานในผับ ที่สำคัญเราไม่ได้แข่งขันแค่กับผู้เล่นในอุตสาหกรรมเดียวกันเอง แต่ต้องแข่งกับตัวเอง

 

ภายใต้ความกดดันทุกๆ ปี เราต้องวางแผนก่อนจำหน่ายบัตร เพราะทุกงานจะต้องอยู่รอดด้วยการขายบัตรเท่านั้น ไม่ต้องไปหวังกับสปอนเซอร์ ส่วนในฝั่งคนซื้อบัตรก็คาดหวังมากขึ้น เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้คนดูมั่นใจว่าการมางานคอนเสิร์ตคุ้มค่าแน่นอน

 

ปลุกปั้น 4 ทีมผู้จัด ประชันไอเดีย-สร้างประสบการณ์มัดคนดูให้อยู่หมัด

 

ขณะเดียวกันความท้าทายของการจัดงานคอนเสิร์ต หรือแม้แต่ Music Festival คือการหาไอเดียใหม่ๆ เข้ามาผสมผสานในการจัดงาน ซึ่งถือว่ายากมากๆ ที่เราจะคิดไอเดียใหม่ออกมาตลอดเวลา จึงเป็นที่มาว่าทำไม GMM SHOW ถึงได้มีทีมผู้จัดถึง 4 ทีม เพื่อทำให้วิธีคิดหลากหลาย ไม่ซ้ำซาก เพราะแต่ละปีเราจัดไม่ต่ำกว่า 20 งานทั้งอินดอร์และเอาต์ดอร์ มิวสิกเฟสติวัลสเกล 20,000 คนขึ้นไป ดังนั้นการมี 4 ทีมจะทำให้แต่ละทีมสร้างเรื่องราวให้แตกต่าง และเป็นที่จดจำได้ และทำงานตามเวลาที่กำหนดได้ทัน

 

เมื่อเจาะลึกลงมาถึงผลงานคอนเสิร์ตของ GMM SHOW อยู่ภายใต้ฝีมือของผู้บริหาร 4 ทีม เริ่มจาก

 

 

1. ทีม GayRay บริหารโดย ป่านแก้ว สัตยาวุฒิพงศ์ Vice President – Showbiz Promoter มีจุดแข็งในการหาไอเดียที่แปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา เป็นผู้ปลุกปั้นงาน Big Mountain Music Festival ที่จัดขึ้นทุกๆ ปี โดยมีผู้เข้าร่วมงานมากถึง 80,000 คน รวมถึงงาน The Gentlemen Live และ Grammy RS Concert

 

 

ตามด้วย 2. ทีม Gfest บริหารโดย ฝากฝัน ศรีสันติสุข Director – Showbiz Promoter มีจุดแข็งคือการสร้างประสบการณ์ดนตรีที่หลากหลาย เน้นประสบการณ์ให้คนดูในทุกเจเนอเรชัน ทั้งร็อกรุ่นใหญ่และวัยรุ่น โดยเป็นผู้ปลุกปั้นงานใหญ่ๆ อย่าง MARATHON CONCERT, Rock Mountain, Rock on The Beach และ Monster Music Festival

 

 

รวมถึง 3. ทีม Idea Fact บริหารโดย ศักดิ์สกุล แก้วมาตย์ Vice President – Showbiz Promoter มีจุดแข็งในการสร้างงานแนวไลฟ์สไตล์และเพรสทีจ โดยเป็นผู้ปลุกปั้นงานคอนเสิร์ตทั้งศิลปินเดี่ยวและงานมิวสิกเฟสติวัล เริ่มตั้งแต่ Nanglen Music Festival, NangLay Beach Party And Music Festival, Water War Chiang Mai, ตัน FIGHT ตัน VARIETY CONCERT, PALMY มิตร Universe Concert และยังมีการจัดงานแฟนมีตศิลปินและไอดอลเกาหลี

 

 

และ 4. ทีม ALL AREA บริหารโดย พนมกร พันธุ์ชนะ Director – Showbiz Promoter ผู้ปลุกปั้นงานตามหัวเมืองหลักในต่างจังหวัด เริ่มตั้งแต่งานเชียงใหญ่เฟส, เฉียงเหนือเฟส และพุ่งใต้เฟส ผสมผสานวัฒนธรรมในแต่ละภาค ที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก และยังกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 450 ล้านบาท

 

เรียกว่าในทุกๆ งานที่เกิดขึ้น ทุกทีมได้นำข้อมูล Marketing Research ที่เก็บรวบรวมเอาไว้มาช่วยวาง Positioning วางแผนงานออกมาให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคนดูให้ได้มากที่สุด

 

ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวยังช่วยเปลี่ยนความเชื่อยุคก่อนที่ว่า การจัดงานจะต้องเกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ เท่านั้น พอวางโครงสร้างใหม่ นำข้อมูลมาใช้ ทำให้บริษัทกล้าออกไปเปิดตลาดใหม่ๆ ยกตัวอย่าง เชียงใหญ่เฟส ที่ใครๆ ก็บอกว่าเชียงใหม่คือเมืองปราบเซียน แต่เมื่อมีฐานข้อมูลก็ช่วยให้ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดการณ์เอาไว้

 

นอกจากนี้ยังได้เห็นบริบทที่เปลี่ยนไปจากฐานแฟนคลับทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ วันนี้เราจะเห็นว่าคนรุ่นใหม่ตัดสินใจจ่ายมากกว่า และไม่ใช่แค่ซื้อบัตรมาดูคอนเสิร์ตเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนด้วยการซื้อสินค้ากับศิลปิน และหากสังเกตจะเห็นว่า ศิลปินมีการออกเสื้อยืดคอลเล็กชันใหม่ๆ มาวางขายอยู่เสมอ

 

 

ถิติคนไทยซื้อบัตรดูคอนเสิร์ต 3 ครั้งต่อปี – วัยทำงานชอบผ่อนจ่าย

 

สำหรับทีม GMM SHOW จัดงานมิวสิกเฟสติวัลทุกรูปแบบปีละ 20 งาน ประกอบไปด้วยเฟสติวัลเอาต์ดอร์ 10 งาน คอนเสิร์ตอินดอร์ 10 งาน เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิดเป็นเท่าตัว ปีที่ผ่านมามีผู้เข้าชมงาน GMM SHOW รวม 4 แสนคน และปีนี้ยังหวังให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมีเป้าหมายสร้างยอดขายบัตรให้แตะ 1 พันล้านบาท

 

 

ถือว่าสอดคล้องกับสถิติคนไทยที่ซื้อบัตรดูคอนเสิร์ตประมาณ 3 ครั้งต่อปี ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธหลักของ GMM SHOW นั้นมีข้อได้เปรียบทั้งงานที่หลากหลาย ที่สำคัญคือความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค ทั้งหมดจะช่วยดึงกลุ่มคนดูได้อยู่หมัด

 

รวมถึงการเพิ่มทางเลือกเปิดให้ผ่อนจ่ายซื้อบัตรคอนเสิร์ต โดยที่ผ่านมากลุ่มนักศึกษาและวัยทำงานที่มีอายุระหว่าง 20-30 ปีก็นิยมผ่อนจ่าย และคนไทยมีการใช้จ่ายในการดูคอนเสิร์ตแต่ละครั้งเฉลี่ยอยู่ที่ 3,000 บาทต่อคน

 

แนะรัฐบาลช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมให้ไปได้ไกลกว่านี้

 

ป๋าเต็ดทิ้งท้ายไว้ว่า ถึงวันนี้ประเทศไทยมีการจัดคอนเสิร์ตจำนวนมาก ถ้าเราอยากกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ส่วนตัวมองว่าประเทศไทยมีความได้เปรียบในแง่ของประเพณีและวัฒนธรรม เรายกตัวอย่างงานฟูลมูนปาร์ตี้ที่เกาะพะงัน เป็นงานที่จัดกันเองแต่กลายเป็นอีเวนต์ระดับโลก

 

แสดงให้เห็นว่าถ้าเราเอาพลังความคิด ประสบการณ์ของผู้ประกอบการทั้งหลาย ไม่ต้องแค่ GMM SHOW แต่หมายถึงผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม เราจะไปได้ไกลกว่านี้ และเราขอพูดในฐานะตัวแทนผู้จัดงาน ที่เราต้องการจากรัฐบาลคือเรื่องส่งเสริมในเรื่องการลดหย่อนภาษี อะไรก็ได้เหมือนที่ทำกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ซึ่งถ้ารัฐบาลทำได้ต้นทุนอะไรหลายๆ อย่างในการจัดงานก็จะลดลง และทั้งวงการก็จะได้รับผลประโยชน์โดยตรง

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X