ชาว Gen Z รุ่นใหม่ก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานในช่วงที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว พวกเขาให้ความสำคัญกับอิสระและความยืดหยุ่นในชีวิต ไม่ได้มองหางานประจำที่ต้องเข้าออฟฟิศ 8 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็นอีกต่อไป แต่ Gen Z จำนวนมากเลือกที่จะทำงานในรูปแบบ Gig Economy เช่น ฟรีแลนซ์, ครีเอเตอร์, ค้าขายออนไลน์ หรือทำงานบนแพลตฟอร์มต่างๆ
รูปแบบการทำงานนี้มีข้อดีและมีอิสระมากมาย แต่ก็มีความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาวที่ต้องบริหารจัดการให้ดี
ทำไม Gen Z ถึงเลือก Gig Economy?
Gig Economy กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตามรายงานของธนาคารโลกปี 2023 มีแรงงานแบบ Gig มากถึง 435 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งคิดเป็น 12.5% ของแรงงานทั้งหม่ และในปี 2027 ในประเทศพัฒนาแล้ว ครึ่งหนึ่งของแรงงานทั้งหมดคาดว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของ Gig Economy ซึ่งเติบโตเร็วกว่าแรงงานแบบดั้งเดิมถึง 3 เท่า โดยมี Gen Z เป็นผู้นำเทรนด์
ซึ่งจุดเด่นของ Gig Economy ที่ดึงดูดใจชาว Gen Z ก็คือความอิสระและยืดหยุ่นในการทำงานทำงานที่ไหน เมื่อไหร่ และจะรับงานกับใครก็ได้ งานมีความหลากหลายไม่น่าเบื่อ รวมทั้งโอกาสทำเงินที่มากกว่า ขึ้นอยู่กับความสามารถและความขยันโดยตรง
ความเสี่ยงทางการเงินที่ชาว Gig ต้องเผชิญ
อย่างไรก็ตาม ความยืดหยุ่นของ Gig Economy มาพร้อมกับความเสี่ยงทางการเงิน ซึ่งชาว Gig มักจะละเลยการให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
-
รายได้ไม่สม่ำเสมอ
ความท้าทายหลักของชาว Gig คือ รายได้อาจมาเป็นก้อนใหญ่ในเดือนนี้ แต่อาจหายไปเลยใน 2-3 เดือนข้างหน้า การเงินจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก เช่น เศรษฐกิจ หรือการแข่งขันในตลาด
-
ขาดสวัสดิการพื้นฐาน
ชาว Gig ไม่ได้สิทธิประโยชน์อัตโนมัติเหมือนพนักงานประจำ เช่น ประกันสุขภาพกลุ่ม, วันลาป่วย/ลาพักร้อนแบบมีค่าจ้าง, หรือเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
-
ภาระการจัดการภาษีด้วยตนเอง
ภาษีอยู่ทุกที่ คนทำงานแบบ Gig ต้องรับผิดชอบการจัดการภาษีทั้งหมดด้วยตัวเอง หลายงานก็ไม่มีหัก ณ ที่จ่ายให้ และต้องรวมยอดรายได้จากทุกแหล่งมาคำนวณภาษีทั้งหมด
4 เสาหลักแผนการเงินที่ชาว Gig ควรเตรียมพร้อม
เพื่อสร้างความมั่นคงและอิสระทางการเงินในระยะยาว ชาว Gig ควรสร้างแผนการเงินที่รัดกุมกว่าพนักงานประจำ
-
กองทุนสำรองฉุกเฉินต้องมีมากกว่า
เมื่อรายได้ไม่สม่ำเสมอ เงินสำรองฉุกเฉิน จึงเป็นสิ่งสำคัญไว้เพื่อป้องกันความไม่แน่นอน เราควรแยกบัญชีเงินสำรองฉุกเฉินออกจากบัญชีรายจ่ายประจำอย่างชัดเจน
จำนวนที่เหมาะสม: ในขณะที่พนักงานประจำอาจสำรอง 3-6 เดือนของค่าใช้จ่าย แต่ชาว Gig ที่รายได้ผันผวน ควรตั้งเป้าไว้ที่ 6-12 เดือนของค่าใช้จ่ายประจำ เช่น หากมีค่าใช้จ่ายต่อเดือน 20,000 บาท ก็ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 120,000 – 240,000 บาท เพื่อรองรับช่วงที่งานขาดมือหรือต้องหยุดพักเนื่องจากปัญหาสุขภาพ
ที่เก็บ: ควรเก็บไว้ในบัญชีที่มีสภาพคล่องสูงและถอนง่าย เช่น บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง หรือ กองทุนรวมตลาดเงิน
-
การจัดการภาษีอย่างเป็นระบบ
การจัดการภาษีเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะรายได้จะถูกโอนเข้ามาโดยที่ไม่มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายเหมือนพนักงานประจำ
แยกบัญชีโดยเฉพาะ: เปิดบัญชีธนาคาร 1 บัญชีสำหรับรับเงินค่าจ้างฟรีแลนซ์โดยเฉพาะ แยกออกจากบัญชีที่ใช้จ่ายส่วนตัว เมื่อได้รับเงินเข้ามา ให้โอนเงินส่วนหนึ่ง (เช่น 20-30% ของรายได้) ไปเก็บไว้ในบัญชีสำรองสำหรับจ่ายภาษี เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีเงินพร้อมจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเมื่อถึงกำหนด
จัดเก็บข้อมูลรายรับรายจ่าย: เก็บบันทึกข้อมูลรายรับให้ครบถ้วน และรวบรวมหลักฐานค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเพื่อนำมาลดหย่อนภาษี
ยื่นภาษีอย่างถูกต้อง: รายได้มีหลายประเภท ซึ่งการคำนวณภาษีจะแตกต่างกัน รวมถึงเวลาในการชำระภาษีที่ต่างออกไปด้วย ควรศึกษารายได้แต่ละก้อนของเราให้ดี เพื่อชำระภาษีอย่างถูกต้องตรงเวลา
-
ทำประกันสุขภาพ ป้องกันความเสี่ยงให้ตัวเอง
เมื่อเราคือ ‘CEO’ และ ‘พนักงาน’ ของตัวเอง การดูแลสุขภาพคือการรักษาสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุด และยิ่งเราเป็นชาว Gig ที่ขาดสวัสดิการประกันสุขภาพจากนายจ้าง การเตรียมการด้านสุขภาพจึงต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะหากเจ็บป่วย รายได้จะหยุดทันทีและยังต้องแบกรับค่ารักษาพยาบาลอีกด้วย
ประกันสังคม: หากเราไม่ได้เป็นพนักงานประจำ ควรสมัคร ประกันสังคมมาตรา 40 (ทางเลือก 1-3) เพื่อรับความคุ้มครองพื้นฐานด้านการรักษาพยาบาล และเงินชดเชยรายได้บางส่วน
ซื้อประกันสุขภาพเพิ่มเติม: พิจารณาซื้อประกันสุขภาพส่วนบุคคล เพื่อเพิ่มความคุ้มครองที่ครอบคลุมกว่า และลดความเสี่ยงที่เงินสำรองฉุกเฉินจะต้องถูกนำมาใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาล เนื่องจากรายได้ที่หยุดลงทันทีเมื่อป่วย และพิจารณาประกันชดเชยรายได้เพิ่มเติม เพราะหากต้องนอนโรงพยาบาล เราก็ยังได้เงินชดเชยเป็นรายวันแม้จะทำงานไม่ได้
ประกันอุบัติเหตุ: สำหรับงานที่ต้องเดินทางบ่อย หรือทำงานที่มีความเสี่ยงจากการเดินทาง ควรมีประกันอุบัติเหตุติดตัวไว้
-
แผนเกษียณระยะยาว
แม้การเกษียณจะดูยังเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับ Gen Z แต่สุดท้าย Gen Z ก็จะเติบโตขึ้นถึงวัยที่ทำงานไม่ไหว และยิ่งเราอยู่ใน Gig Economy ที่ไม่มีนายจ้าง ก็หมายความว่า เราต้องรับผิดชอบการเกษียณของตัวเอง 100% การเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อยจะทำให้ได้เปรียบมากกว่า
เมื่อเราจ่ายภาษีครบแล้ว ควรนำเงินส่วนที่เหลือไปลงทุนเพื่ออนาคต โดยใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่รัฐมอบให้
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): RMF (Retirement Mutual Fund) คือตัวเลือกที่ดีที่สุดและคล้าย PVD ที่สุดสำหรับผู้ไม่มีงานประจำ เพราะมีวัตถุประสงค์เพื่อ การออมระยะยาวเพื่อวัยเกษียณ และให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเต็มที่
ลักษณะ: เป็นการลงทุนในกองทุนรวมที่เราเลือกเอง (หุ้น, ตราสารหนี้, ทองคำ ฯลฯ)
ประโยชน์หลัก:
- ลดหย่อนภาษี: สามารถนำเงินลงทุนมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุด 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และเมื่อรวมกับการออม/ลงทุนเพื่อเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
- ยืดหยุ่น: เลือกจำนวนเงินลงทุนและนโยบายการลงทุนได้เอง ไม่ต้องมีนายจ้างช่วยสมทบ
- เงื่อนไข: ต้องถือหน่วยลงทุนจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม
ประกันชีวิตแบบบำนาญ: หากเราต้องการความแน่นอนว่าจะมีเงินบำนาญเข้ามาอย่างสม่ำเสมอหลังเกษียณ ประกันบำนาญคือคำตอบ
ลักษณะ: เป็นการออมเงินกับบริษัทประกัน โดยบริษัทจะรับประกันว่าจะจ่ายเงินบำนาญคืนให้เราเป็นงวดๆ ตั้งแต่ช่วงอายุที่กำหนด (เช่น อายุ 60 ปี) ไปจนถึงช่วงอายุที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
ประโยชน์หลัก:
- ลดหย่อนภาษี: สามารถนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท (และเมื่อรวมกับ RMF และการออมเพื่อเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท)
- ความแน่นอน: ให้ความมั่นคงเรื่องกระแสเงินสดหลังเกษียณตามที่ระบุในสัญญา
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.): สำหรับคนทำงานแบบไม่มีนายจ้างที่ยังไม่มีการออมระยะยาวอย่างจริงจัง หรือมีรายได้ไม่แน่นอน กอช. (National Savings Fund – NSF) เป็นทางเลือกที่ดีที่รัฐบาลมีส่วนช่วยสมทบ
ลักษณะ: เป็นการออมแบบสมัครใจสำหรับแรงงานนอกระบบ
ประโยชน์หลัก:
- รัฐบาลช่วยสมทบ: เราจะได้เงินสมทบจากรัฐบาลเพิ่มเติมตามช่วงอายุ และได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน
- จ่ายเป็นบำนาญ: เมื่ออายุครบ 60 ปี และมีเงินสะสมเพียงพอ จะได้รับเงินคืนเป็นบำนาญรายเดือน
- เงื่อนไข: ผู้สมัครกอช. ต้องไม่มีประกันสังคม (ม.40 ทางเลือก 1 เข้าร่วมได้) ไม่เป็นข้าราชการ ไม่มีกบข. ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ประกันสังคม ม.40 ทางเลือก 2 และ 3: เงินที่ผู้ประกันตนมาตรา 40 ทางเลือก 2 และ 3 จะได้รับเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน จะเป็น “เงินบำเหน็จชราภาพ” ซึ่งจะได้เป็นก้อนแค่ครั้งเดียว ซึ่งประกอบด้วย เงินสะสม + เงินสมทบจากรัฐ + ผลประโยชน์ตอบแทน
Gig Economy มีข้อได้เปรียบในเรื่องของอิสระและความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิตและการทำงาน แต่ความสำเร็จในระยะยาวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีแผนการเงินที่แข็งแรงและมีวินัย
จงทำงานอย่างอิสระ แต่อย่าลืมวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบและมีวินัย เริ่มต้นด้วยการสร้างเงินสำรองฉุกเฉิน, จัดการภาษีให้ครบถ้วน, ซื้อประกันสุขภาพที่เหมาะสม, และเริ่มต้นแผนเกษียณตั้งแต่วันแรกที่เราเริ่มมีรายได้
วางรากฐานการเงินตั้งแต่วันนี้ เพื่อเป็นชาว Gig ที่มีอิสระได้อย่างแท้จริงไปตลอดชีวิต
อ้างอิง:
- https://www.investopedia.com/gig-economy-financial-tips-11754069
- https://www.prosper.com/blog/financial-planning-for-self-employed