×

ไม่มีปาฏิหาริย์สำหรับยูเวนตุส บทเพลงอำลาบุฟฟอนที่แสนเศร้า

12.04.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins read
  • ยูเวนตุสเกือบทำปาฏิหาริย์เหมือนโรมาคืนก่อนได้ หลังจากขึ้นนำเรอัล มาดริด 3-0 แต่แล้วความฝันก็พังทลาย เมื่อโรนัลโดยิงลูกจุดโทษเข้าไปในช่วงต่อเวลา
  • จิอันลุยจิ บุฟฟอน นายทวารของทีม ‘ม้าลาย’ ที่ถูกไล่ออกจากสนามนาทีที่ 93 ถึงกับฉุนขาดและด่าทอกรรมการเป็นชุด “เขาคือคนที่เอาถังขยะมาใส่แทนหัวใจ”
  • การระบายออกมาของบุฟฟอนแม้จะดูรุนแรง แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ไม่มีใครคิดกล่าวโทษเขา เรารู้ดีว่าเขาเจ็บปวดแค่ไหน และนี่คือเกมสุดท้ายของเขา​

 

แทบไม่มีใครอยากเชื่อสายตาในสิ่งที่เห็นครับ

ภาพของผู้ตัดสินในสนาม ไมเคิล โอลิเวอร์ ที่ตัดสินใจชูใบแดงขึ้นมา เพียงแต่มันไม่ใช่ใบแดงสำหรับ เมดี เบนาเตีย ปราการหลังที่เข้าสกัดใส่ ลูคัส บาสเกซ จนล้มลงไปในเขตโทษ และทำให้ผู้ตัดสินชาวอังกฤษไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการชี้ไปที่จุดโทษ

ใบแดงนั้นกลับเป็นของ จิอันลุยจิ บุฟฟอน นายทวารของทีม ‘ม้าลาย’ ยูเวนตุส ที่ถูกไล่ออกจากสนามในนาทีที่ 93 ของการแข่งขัน

ในสถานการณ์ที่ทีมต้องการเขามากที่สุด กับใครสักคนที่จะช่วยหยุดยั้งลูกจุดโทษนี้เพื่อให้พวกเขามีเวลาเพิ่มอีก 30 นาที หลังจากที่ได้พยายามทำในสิ่งที่ไม่มีใครอยากเชื่อมาแล้วตลอด 90 นาทีที่เบอร์นาบิวบุกมาขึ้นนำได้ถึง 3-0 จนทำให้สกอร์รวม 2 นัดกลับมาเท่ากันที่ 3-3

บุฟฟอนไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะทำหน้าที่เพื่อ ‘ปกป้อง’ ทีมแบบที่เขาเคยทำได้ตลอดมา

แม็กซ์ อัลเลกรี นายใหญ่ของทีมเบียงโคเนรีไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากส่ง วอยเชียค เชสนี นายทวารมือสอง ลงมาดวลกับ คริสเตียโน โรนัลโด

และเป็น CR7 ที่เยือกเย็นมากพอที่จะส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายได้สำเร็จ แม้ในสถานการณ์ที่ตัวเขาเองยอมรับหลังเกมจบลงว่าหัวใจเต้นแรงขึ้นกว่าปกติมาก เพราะสถานการณ์ในเวลานั้น หากเขายิงเข้า ทุกอย่างจะจบ ทีมจะได้ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ แต่ถ้ายิงไม่เข้า มันมีโอกาสที่เขาและทีมจะตกเป็นผู้พ่ายแพ้

ในขณะที่บุฟฟอนทำได้เพียงเดินออกจากสนามไปอย่างหัวเสีย โดยที่แฟนบอลทั้งโลกต่างรู้ว่านี่อาจจะเป็นภาพสุดท้ายที่เราจะได้เห็นสุดยอดนายทวารอมตะผู้นี้ในรายการนี้

 

 

มันควรจะเป็นที่ของหัวใจ ไม่ใช่ถังขยะ!
​ทันทีที่สิ้นเสียงนกหวีดลงพร้อมชัยชนะของเรอัล มาดริด และความพ่ายแพ้ที่น่าเห็นใจอย่างยิ่งของยูเวนตุส ความรู้สึกของบุฟฟอนได้ถูกระบายออกมา

มันเป็นความรู้สึกที่ร้อนเหมือนไฟนรก เป็นความรู้สึกของผู้ที่สูญเสียทุกอย่าง ทั้งที่เขาคิดว่าเขาไม่ควรจะเสียอะไรสักอย่าง

 

“L’arbitro ha l’immondizia al posto del cuore”

ประโยคข้างต้นคือคำพูดของบุฟฟอนที่มีต่อไมเคิล โอลิเวอร์ ผู้ตัดสินชาวอังกฤษ ว่าเป็นคนแท้ๆ แต่ดันกลับเอาถังขยะมาใส่ไว้แทนหัวใจ

เปรียบเป็นนัยว่าโอลิเวอร์เป็นคนไร้หัวใจนั่นเองครับ

“คนที่สามารถตัดสินจังหวะที่น่ากังขา หรือพูดให้ถูกคือน่ากังขาอย่างยิ่ง แล้วจะให้จุดโทษในช่วงก่อนสิ้นเสียงนกหวีดเพื่อทำลายในสิ่งที่ทีมหนึ่งได้พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ทำได้ คือคนที่เอาถังขยะมาใส่แทนหัวใจ

 

​“คนปกติทั่วไป ไม่มีใครสามารถที่จะกำจัดทีมหนึ่งด้วยการตัดสินใจแบบนั้นได้ ถ้าสมมติเป็นผม แล้วผมรู้สึกว่าผมไม่พร้อม ผมก็จะไปหลบอยู่ที่มุม เขาเองก็ควรจะทำเหมือนกัน มันเป็นเรื่องของความรู้สึก มันหมายความว่าคุณไม่รู้เลยว่าคุณยืนอยู่ที่ไหน ทีมไหนที่กำลังแข่งอยู่ คุณมันไม่รู้อะไรเลยสักนิด

“จะลงตัดสินเกมแบบนี้ได้มันต้องมีการเตรียมความพร้อม คุณต้องดูเทปของเกมแรกย้อนหลัง ซึ่งจะเห็นว่าไอ้จังหวะคล้ายๆ กันนี้ ยูเวนตุสไม่เคยได้ฟาวล์เลยในเกมที่ตูริน การจะตัดสินเกมแบบนี้มันจำเป็นที่จะต้องเป็นคนที่มีจิตใจที่เข้มแข็งด้วย เพราะถ้าใจไม่นิ่งพอก็ควรจะไปนั่งดูเกมบนอัฒจันทร์อยู่กับลูกกับเมีย นั่งกินมันฝรั่งทอดไป”

 

 

สิ่งที่หลายคนสงสัยคือ คำพูด ‘อะไร’ ที่บุฟฟอนสบถใส่โอลิเวอร์ในจังหวะนั้นจนนำไปสู่การให้ใบแดง

บุฟฟอนไม่ได้เฉลยครับว่าเขาพูดอะไร เขาบอกแค่ว่าในเวลานั้นเขาพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะเขาคิดว่าคนที่ตัดสินแบบนั้นได้คือคนที่ไม่รู้จักฟุตบอลเลย

การระบายออกมาของบุฟฟอนแม้จะดูรุนแรง แต่มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

ไม่มีใครคิดกล่าวโทษเขา

เราต่างรู้ดีว่าผู้รักษาประตูในตำนานที่แฟนบอลรักมากที่สุดในโลกคนนี้เจ็บปวดแค่ไหน

เพราะเขารู้ และเราต่างก็รู้ดีว่าคงไม่มีวันอีกแล้วที่บุฟฟอนจะลงเล่นในรายการนี้อีก หลังจากที่เขาเคยบอกไว้ว่า หากฤดูกาลนี้เขาไม่ได้แชมป์ เขาจะไม่ลงแข่งขันรายการนี้อีกต่อไป

 


ปาฏิหาริย์ที่ไม่มีจริง
​ความเจ็บแค้นของบุฟฟอนนั้นเกิดจากการที่ยูเวนตุสได้พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้เพื่อสร้าง ‘ปาฏิหาริย์’ ในแบบของตัวเอง หลังจากที่พวกเขาได้เห็นโรมาทำในสิ่งที่ไม่มีใครอยากเชื่อ โดยเขี่ยบาร์เซโลนาตกรอบด้วยการเอาชนะในบ้าน 3-0 หลังแพ้ในเกมแรกมา 1-4

The Old Ladies หรือยูเวนตุสเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากไม่แพ้กัน และอาจจะลำบากกว่าด้วย เมื่อพวกเขาพ่ายคาบ้านในเกมแรกมาถึง 3-0

นั่นหมายถึงหากอยากจะเข้ารอบ พวกเขาต้องเอาชนะให้ได้ 4 ประตูขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งมันยากจนแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยเมื่อคิดถึงความแตกต่างระหว่างฝีเท้าของสองทีมในเกมแรก และเกมนี้ยังเป็นการมาเยือนของ ‘ราชันชุดขาว’ เรอัล มาดริด หนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของโลกเวลานี้ และเป็นช่วงที่แชมป์เก่า 12 สมัยกำลังอยู่ในช่วงฟอร์มร้อนแรงที่สุดด้วย

แต่ยูเวนตุสซึ่งไม่มี เปาโล ดีบาลา ก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดด้วยการปูพรมไล่ถล่มเรอัล มาดริด ซึ่งขาดเสาหลักในเกมรับอย่าง เซร์คิโอ รามอส จนซวนเซไม่เป็นท่า

ประกายความหวังมีให้เห็นจากประตูขึ้นนำตั้งแต่ต้นเกมในนาทีที่ 2 จาก มาริโอ มานด์ซูคิช ซึ่งได้โอกาสลงสนามจับคู่กับ กอนซาโล อิกวาอิน แทนดีบาลา

ประตูนี้ทำให้ยูเว่เริ่มมีความเชื่อว่าพวกเขาอาจจะทำได้เหมือนโรมา และทำให้ทีมของอัลเลกรี ซึ่งมีการปรับแก้กลยุทธ์การเล่นมาเป็นอย่างดีตั้งแต่แนวรับจนถึงแนวรุก สามารถเล่นงานเรอัล มาดริด ได้แบบสะใจเหมือนเป็นการเอาคืนในเกมนัดชิงเมื่อปีที่แล้วและในเกมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาพร้อมกัน

จาก 1-0 ก็มาสู่ประตู 2-0 ที่ได้จากมานด์ซูคิชเจ้าเก่าในนาทีที่ 37 ซึ่งยิ่งทำให้พวกเขาเชื่อมั่นขึ้นไปอีก

จนกระทั่งมาทำประตู 3-0 ในช่วงครึ่งหลังนาทีที่ 60 จาก แบลส มาตุยดี ทำให้ทุกอย่างกลับมาเท่ากันด้วยผลรวม 2 นัด 3-3

 

 

เวลานั้นยูเวนตุสได้กำลังใจที่ส่งมาจากแฟนบอลทั่วโลกอีกมากมายมหาศาลที่ต้องการเห็นพวกเขาสมหวังบ้าง

โดยเฉพาะบุฟฟอนผู้ที่ไม่เคยได้สัมผัสกับโทรฟี ‘บิ๊กเอียร์ส’ หรือถ้วยแชมป์ของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากที่เคยมีโอกาสเข้าชิง 2 ครั้ง แต่ก็พ่ายทั้งหมดต่อบาร์เซโลนาและเรอัล มาดริด

แต่ท้ายที่สุดเสียงนกหวีดในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของโอลิเวอร์ก็ดับความหวังของทุกคนลง

 

ตาชั่งที่เที่ยงตรง
​อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ในสนามซานติอาโก เบอร์นาบิว จะสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ ‘ความรู้สึก’ ของนักเตะยูเวนตุสและแฟนฟุตบอลทั่วโลก

แต่ในการทำหน้าที่ตัดสินเกมฟุตบอล ความรู้สึกไม่ใช่สิ่งที่ควรใช้เป็นบรรทัดฐานในการตัดสิน

ความจริงและสายตาที่เที่ยงธรรมคือสิ่งที่ผู้ตัดสินต้องใช้ในการทำหน้าที่ และในอีกมุมหนึ่ง มีคนเชื่อว่าโอลิเวอร์ไม่ได้ทำอะไรผิดในการตัดสินจังหวะนี้

เมดี เบนาเตีย ทำฟาวล์ลูคัส บาสเกซ จริงโดยเป็นการเข้าปะทะจากด้านหลัง ซึ่งภาพนั้นค่อนข้างชัดเจน และเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น สิ่งที่ผู้ตัดสินมีหน้าที่ต้องทำคือการตัดสินไปตามความจริง

ส่วนใบแดงของบุฟฟอนเป็นประเด็นที่ยังพอถกเถียงได้มากกว่าว่าการให้ใบแดงแบบ Straight Red (ให้ใบแดงเลยโดยไม่มีการเตือนก่อน) นั้นเหมาะสมหรือไม่ บุฟฟอนพูดหรือทำอะไรที่ทำให้โอลิเวอร์ตัดสินใจที่จะไล่เขาออกจากสนาม

​หากให้มองจากเหตุการณ์ สาเหตุที่แท้จริงน่าจะเป็นการที่บุฟฟอนไปรั้งตัวเขา ซึ่งเป็นการละเมิดกฎอย่างรุนแรง เพราะตามกฎแล้วผู้ตัดสินจะได้รับการปกป้องจากการทำหน้าที่ โดยที่ผู้เล่นต้อง ‘เคารพ’ การตัดสินนั้น และไม่มีสิทธิ์คุกคาม

เพียงแค่มันดูเป็นการควักใบแดงที่ไวเกินไปนิด เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และมันดูเหมือนจะเร็วเกินไป

อย่างไรก็ดี ตามข้อมูลจาก The Daily Telegraph โอลิเวอร์ในวัย 33 ปี เป็นหนึ่งในผู้ตัดสินที่ดีที่สุดคนหนึ่งของวงการฟุตบอลอังกฤษ และมีประสบการณ์ในการตัดสินมาไม่น้อย รวมถึงในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่ตัดสินมา 2 ฤดูกาลติดต่อกัน และหนึ่งในเกมที่เขาลงตัดสินในฤดูกาลนี้ก็เป็นเกมที่ยูเวนตุสพบกับสปอร์ติ้ง ลิสบอน ในเกมรอบแรกด้วย

ดังนั้นแม้ว่ามันอาจจะดูเป็นการตัดสินที่โหดร้าย แต่หากมองในแง่ของความถูกต้องซึ่งเป็นสิ่งที่เราควรจะใช้ตัดสินผู้ตัดสินอีกทีนั้น

โอลิเวอร์ไม่น่าจะทำอะไรผิด

แค่ ‘ความจริง’ มันโหดร้ายเกินไปสักนิด

และยากเกินกว่าที่บุฟฟอน นักเตะยูเว่ และแฟนบอลจะทำใจยอมรับได้ในเข็มนาฬิกานั้น



อ้างอิง:

FYI
  • ซีเนดีน ซีดาน โค้ชเรอัล มาดริด ผู้ซึ่งเคยถูกไล่ออกจากสนามในนัดชิงฟุตบอลโลกกับอิตาลี ในปี 2006 (บุฟฟอนเป็นผู้รักษาประตูอิตาลีในเกมนั้นด้วย) และเป็นเกมนัดสุดท้ายของชีวิต เชื่อว่าบุฟฟอนไม่สมควรได้รับใบแดงในจังหวะนั้น แต่มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว
  • ผลงานรวมของบุฟฟอนในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกหยุดที่ 117 นัด โดยไม่เสียประตูมากถึง 50 นัด
  • หลังเกมจบลง ผู้สื่อข่าวอิตาลีที่ชมเกมอยู่ที่เบอร์นาบิวถามว่าผู้ตัดสินคนนี้ชื่ออะไร!
  • ริโอ เฟอร์ดินานด์ ผู้บรรยายเกมทาง BT Sport อยากเห็นบุฟฟอนได้ดวลกับโรนัลโดในช็อตสุดท้าย มันคงจะเป็นฉากที่โรแมนติกมาก
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising