×

เจอร์วอนตา เดวิส ชายผู้จะก้าวขึ้นมาเป็นหน้าตาของวงการมวยโลกคนใหม่

24.04.2023
  • LOADING...
เจอร์วอนตา เดวิส

หลังจาก ‘เจ้ารถถัง’ หรือ ‘Tank’ เจอร์วอนตา เดวิส เอาชนะ ไรอัน การ์เซีย ยืดสถิติชนะรวดมาเป็น 29 ไฟต์ โดยในนั้นเป็นการชนะน็อกถึง 27 ไฟต์ ทำให้เขายิ่งเป็นที่พูดถึงอย่างมากว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าชายแห่งวงการมวยโลกคนใหม่ของวงการ

 

หากจะเล่าโดยสรุปภายในย่อหน้าเดียวคือ เจ้ารถถังไต่เต้าจากการเป็นนักมวยเยาวชน โดยสร้างชื่อจากการคว้าเหรียญทองในรายการ ‘นวมทองคำ’ หรือ National Golden Gloves 2012 ในรุ่นแบนตัมเวต ก่อนขยับขึ้นมาชกมวยอาชีพในพิกัดซูเปอร์เฟเธอร์เวต, ไลต์เวต และไลต์เวลเทอร์เวตตามลำดับ โดยสร้างสถิติไร้พ่าย และกลายเป็นนักมวยที่น่าจับตามองมากที่สุดในปัจจุบัน

 

ทว่าเรื่องราวของ เจอร์วอนตา เดวิส กว่าที่เขาจะนิยามตัวเองว่า ‘เป็นหน้าตาแห่งวงการมวย’ แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ มันมีเรื่องราวน่าสนใจกว่าที่เขาจะมาถึงจุดนี้มากมายเหลือเกิน

 

“มวยช่วยชีวิตผมไว้” นั่นคือประโยคสั้นๆ ง่ายๆ แต่มีความหมายมากมายสำหรับนักมวยเซาท์พาววัย 28 ปีรายนี้

 

 

ชีวิตวัยเด็ก ‘เจ้ารถถัง’ เริ่มต้นในย่านเวสต์บัลติมอร์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเต็มไปด้วยอาชญากรรมและยาเสพติด รวมไปถึงคนเร่ร่อนมากมาย คุก หรือ ความตาย เหมือนจะเป็นทางเลือกเพียงแค่ 2 สายสำหรับคนในย่านนี้

 

เดวิสเติบโตขึ้นมาภายใต้สังคมแบบนั้นภายใต้ชายคาของบ้านรับอุปการะเด็กด้อยโอกาส และดูเหมือนว่าชีวิตของเขาอาจจะต้องดำเนินรอยตามเส้นทางของคนส่วนมากในย่านนี้ที่ต้องเลือกระหว่างคุกหรือความตาย ถ้าไม่บังเอิญโชคดีได้รู้จักกับ กวาดีร์ เกอร์ลีย์ หนึ่งในเพื่อนของเขาที่ชักนำเจ้ารถถังที่ตอนนั้นวัยเพียงแค่ 7 ปี เข้าไปสู่โรงยิม Upton Boxing Center ซึ่งจะกลายเป็นสถานที่ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล

 

ด้วยความที่เขามีศีรษะขนาดใหญ่แม้จะอายุไม่มาก ทำให้โค้ชในโรงยิมเรียกเขาด้วยชื่อเล่นว่า ‘Tank’ หรือ ‘เจ้ารถถัง’ ตั้งแต่เด็ก

 

หลังจากนั้นไม่นานเกอร์ลีย์ก็ได้แนะนำให้เดวิสรู้จักกับ คาลวิน ฟอร์ด พ่อของเขา ซึ่งในตอนนั้นฟอร์ดเองก็ไม่รู้ว่าตนจะกลายมาเป็นโค้ชให้ยอดนักมวยรายนี้ยาวนานตั้งแต่ปี 2006-2015 และพาเขาเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ศึกนวมเงิน 3 สมัย ระหว่างปี 2006-2008, คว้าเหรียญทอง โอลิมปิกเยาวชนแห่งชาติ, สมาคมกีฬาตำรวจแห่งชาติ และริงไซด์ เวิลด์ แชมเปียนชิป อย่างละ 2 สมัย จนกระทั่งความสำเร็จสำคัญอย่างการคว้าเหรียญทองในรุ่นแบนตัมเวตในรายการ ‘นวมทองคำ’ ปี 2012 ก็ชักพาเขาเข้าสู่วงการมวยอย่างเต็มตัว

 

แต่ชีวิตของเจ้ารถถังก็ไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ เพราะอย่างที่เล่าไปแล้วว่าในเวสต์บัลติมอร์ ปลายทางของคนที่โตมาในย่านนี้ส่วนมาก ไม่จบที่คุก ก็จบด้วยความตาม โดยในปี 2013 กวาดีร์ เกอร์ลีย์ เพื่อสนิทของเขาเสียชีวิตจากการถูกยิงด้วยอาวุธปืน

 

 

เท่านั้นยังไม่พอ ก่อนการจากไปของเกอร์ลีย์ 2 ปี เดวิสต้องมาสูญเสียเพื่อนผู้มีอิทธิพลต่อชีวิตของเขาอย่าง โรนัลด์ กิบส์ ซึ่งเป็นนักมวยสากลสมัครเล่นที่จากไปในวัย 17 ปี จากการโดนแทงขณะพยายามปกป้องน้องสาวของเขา ส่วนปีต่อมา ซึ่งเป็น 1 ปีก่อนการจากไปของเกอร์ลีย์ เขาก็เสีย แองเจโล วอร์ด เพื่อนนักมวยอีกคนจากการโดนยิง

 

ความสูญเสียทั้งหมดสร้างความสะเทือนใจให้เจ้ารถถังอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็เหมือนการส่งต่อความฝันให้เดวิสก้าวเดินต่อไปในเส้นทางนักมวยแทนเพื่อนๆ ที่จากไปด้วย

 

“ก่อนมาอยู่กับโค้ชฟอร์ด ผมไม่มีพ่อ เพราะพ่อของผมเข้า-ออกจากคุกบ่อยๆ ดังนั้น แองเจโล วอร์ด, โรนัลด์ กิบส์ และลูกชายของโค้ชฟอร์ด พวกเขาคือผู้ที่เสียชีวิตที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตของผม” เดวิสกล่าว

 

“ที่จริงแล้วคนอีกหลายคนที่ผมรู้จักนั้นตายไปแล้วหรือไม่ก็ติดคุก เมื่อใดก็ตามที่ผมขึ้นชก ผมรู้สึกเหมือนเจตจำนงของพวกเขากำลังเข้าสู่สังเวียนมาพร้อมกับผม นั่นเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ แต่ผมก็จะรับมันเอาไว้ มีเรื่องแย่ๆ มากมายที่เกิดขึ้นในบัลติมอร์ แต่ถ้าพวกเขาเห็นว่าคนคนหนึ่งทำได้ คนต่อไปก็ทำได้ และมันจะเป็นแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้นสิ่งเดียวที่ผมจะทำได้คือ นำแสงสว่างมาสู่บัลติมอร์ มวยช่วยชีวิตผมเอาไว้”

 

เดวิสก้าวสู่วงการมวยอาชีพ หลังจากคว้าแชมป์นวมทองคำปี 2012 เขาเปิดตัวอย่างสุดหรูด้วยการเอาชนะน็อก เดซี วิลเลียมส์ ในยกแรก หลังเวลาผ่านไปเพียง 89 วินาที ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2013

 

หลังนับ 1 ด้วยการชนะน็อกเอาต์ อีก 7 ไฟต์นับจากนั้นจบลงด้วยการชนะน็อกเอาต์ทั้งหมด ก่อนสถิติชนะน็อกของเขาจะมาหยุดในไฟต์ที่ 9 ด้วยการเจอกับ เจอร์มาน เมอราซ ในวันที่ 8 ตุลาคม 2014 แต่ไม่ได้หมายความว่าชัยชนะของเขาจะหยุดลงไปด้วย โดยเจ้ารถถังยังเอาชนะไปได้หลังผ่าน 6 ยก ด้วยมติเอกฉันท์ ซึ่งในตลอดอาชีพของเดวิส มีเพียงแค่ไฟต์นี้ กับไฟต์ที่พบกับ ไอแซค ครูซ ในปี 2021 เท่านั้น ที่ไม่จบลงด้วยชัยชนะแบบน็อกเอาต์ของเขา

 

หลังจากนั้นในปี 2015 เขาขึ้นสังเวยอีกทั้งหมด 5 ไฟต์ เป็นการชนะน็อกได้ทั้งหมด และหนึ่งในนั้นคือแมตช์สำคัญที่สุดแมตช์หนึ่งในอาชีพของเขาก็เกิดขึ้น หลังเขาได้โอกาสไปขึ้นชกกับ เร็คกี ดูเลย์ ที่เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ ในลาสเวกัส รัฐเนวาดา วันที่ 12 กันยายน 2015

 

ไฟต์ดังกล่าวเปลี่ยนชีวิตเดวิสไปอย่างสิ้นเชิง เพราะนอกจากจะเป็นการชนะน็อกดูเลย์ในยกแรก และยัดเยียดความพ่ายแพ้ไฟต์แรกให้คู่แข่งแล้ว คนที่มานั่งดูเขาในวันนั้นยังมี เอเดรียน โบรเนอร์ อดีตแชมป์โลก 3 สถาบัน 4 พิกัดน้ำหนัก ซึ่งได้เอาเรื่องของนักมวยอนาคตไกลคนนี้ไปเล่าต่อให้ ฟลอยด์ ‘เดอะ มันนี’ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ฟัง และนั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นการกลายมาเป็น ‘เด็กฟลอยด์’ ของเดวิส

 

ฟลอยด์กล่าวถึงช่วงเวลาที่พบกับเดวิสเป็นครั้งแรกว่า “เอเดรียน โบรเนอร์ พาเขาไปที่ยิม (ในลาสเวกัส) และเราเห็นเขาออกกำลังกาย เราเห็นแววในตัวเขาตั้งแต่วันนั้น เขาเป็นนักสู้ที่ระเบิดพลังและจะเป็นแชมป์โลกในอนาคต”

 

ขณะที่เดวิสกล่าวถึงโมเมนต์แรกที่เจอกับฟลอยด์ว่า “มีความรู้มากมายที่ฟลอยด์ส่งต่อให้ผม เขาแสดงให้ผมเห็นถึงสิ่งที่ถูกต้องทั้งในและนอกวงการมวย ผมกำลังพยายามทำสิ่งนั้นเพื่อให้นักชกรุ่นใหม่มองมาที่ผมเช่นกัน”

 

 

เดวิสเซ็นสัญญากับ TMT ช่วงปลายปี 2015 เขาก็ถูกผลักดันสู่การขึ้นชกเพื่อเป็นแชมป์โลกอย่างแท้จริง และในวันที่ 14 มกราคม 2017 เดวิสก็คว้าแชมป์โลกเส้นแรก หลังเอาชนะ TKO โจเซ เปดราซา แชมป์โลกของสหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) รุ่นซูเปอร์เฟเธอร์เวต ชาวเปอร์โตริกัน ในยกที่ 7 ณ สังเวียนบาร์เคลย์ส เซ็นเตอร์ในมหานครนิวยอร์ก

 

หลังจากนั้นในปี 2017 เขาก็คว้าเข็มขัดเส้นที่ 2 จากการเอาชนะ TKO เหนือ เฮซุส คูเอลลาร์ นักชกชาวอาร์เจนไตน์ ในยกที่ 2 ในการชกวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2017 คว้าแชมป์โลกของสมาคมมวยโลก (WBA) ในรุ่นซูเปอร์เฟเธอร์เวตมาครองได้ในที่สุด

 

ในปี 2019 เจ้ารถถังก็เพิ่มความท้าทายให้ตัวเองด้วยการขยับมาชิงแชมป์โลกของสมาคมมวยโลก (WBA) ในรุ่นไลต์เวต ก่อนเอาชนะน็อก ยูริออร์คิส แกมเบา นักชกจากคิวบา ในยกที่ 11 ณ สังเวียนสเตทฟาร์มอารีนา เมืองแอตแลนตา

 

และในช่วงกลางปี 2021 เขาก็ขยับขึ้นไปชกในรุ่นซูเปอร์ไลต์เวต เพื่อชิงแชมป์โลกในรุ่นนี้ของ WBA กับ มาริโอ บาร์ริออส นักชกชาวอเมริกัน และเอาชนะ TKO ได้ในยกที่ 11 แต่หลังจากนั้นเขาก็ลงมาชกในรุ่นไลต์เวตเหมือนเดิม

 

ถึงแม้ปัจจุบันเดวิสจะออกจาก TMT ของฟลอยด์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่การทำงานร่วมกับทีมของยอดนักชกไร้พ่ายรายนี้ส่งนักชกคนนี้ให้เป็นหน้าตาของวงการมวยแบบที่ควรจะเป็น เขาได้ฉายาใหม่ว่า ‘หนึ่งเดียว’ หรือ ‘The One’ และ ‘ตัวอันตราย’ หรือ ‘Dangerous’

 

โดยทางเดวิสให้เหตุผลในการออกมาจาก TMT ในช่วงเดือนมกราคมปีนี้ว่า “เมย์เวทเธอร์ โปรโมชัน ทำงานกับผมอย่างยอดเยี่ยม แต่นี่ถึงเวลาของผมแล้วที่จะต้องเดินหน้าและสร้างตัวเองให้เป็นนักธุรกิจ นักสู้ และคนที่ดีที่สุดที่จะช่วยเหลือตัวเองได้

 

“(การก้าวออกมา) มันจะช่วยให้ผมเติบโต เพราะไม่มีใครจูงมือผมไปได้ตลอด แต่จริงๆ แล้วผมต่างหากที่ต้องสวมกางเกงและเสื้อเชิ้ตให้กับทีมของผม แล้วกลายเป็นนักธุรกิจด้วยตัวเอง”

 

เส้นทางต่อไปของ เจอร์วอนตา เดวิส หลังจากนี้คือการยืนหยัดด้วยตัวเอง และเติบโตขึ้นเป็นนักมวยที่ยิ่งใหญ่ และเป็น ‘หน้าตาของวงการมวย’ แบบที่เขาคาดหวัง ซึ่งหลังจากนี้เส้นทางของเขาจะเป็นอย่างไร เราก็คงได้แต่ติดตามเฝ้ามองกันต่อไป 

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising