คณะกรรมาธิการการฉีดวัคซีน (STIKO) ของเยอรมนี ประกาศข้อแนะนำให้ประชาชนฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 แบบผสมต่างชนิดกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการต้านทานเชื้อไวรัส โดยอ้างอิงผลการศึกษาวิจัย ณ ปัจจุบัน ที่พบว่าการฉีดวัคซีนแบบผสมนั้นสามารถกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าอย่างชัดเจน
ภายใต้ข้อแนะนำดังกล่าว STIKO ระบุว่า ประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนโดสแรกจาก Oxford-AstraZeneca นั้น ควรจะได้รับการฉีดวัคซีนชนิด mRNA อย่าง Pfizer-BioNTech หรือ Moderna ในโดสที่ 2 โดยไม่คำนึงถึงกลุ่มอายุ
ท่าทีดังกล่าวทำให้เยอรมนีกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ประกาศข้อแนะนำอย่างหนักแน่นให้ประชาชนฉีดวัคซีนแบบผสมระหว่าง AstraZeneca กับวัคซีน mRNA ซึ่งในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีหญิงของเยอรมนี ก็รับการฉีดวัคซีนโดสที่ 2 เป็นของ Moderna หลังจากที่ฉีดวัคซีนโดสแรกจาก AstraZeneca
ก่อนหน้านี้ในวันที่ 17 มิถุนายน ทางคณะกรรมการที่ปรึกษาแห่งชาติของแคนาดา ก็ประกาศข้อแนะนำการฉีดวัคซีนแบบผสมในลักษณะดังกล่าว โดยระบุว่าประชาชนที่รับการฉีดวัคซีนโดสแรกจาก AstraZeneca ควรฉีดวัคซีนชนิด mRNA เป็นโดสที่ 2 โดยอ้างอิงข้อมูลจากผลการศึกษาวิจัยที่แสดงให้เห็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าการฉีดวัคซีนแบบผสมนั้นสามารถกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกันได้ดีกว่า
ขณะที่ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา พบว่าการฉีดวัคซีนโควิดแบบผสมระหว่าง AstraZeneca กับ Pfizer-BioNTech ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนชนิดใดก่อนหรือหลัง จะทำให้เกิดสารภูมิต้านทานในร่างกายอย่างเข้มข้น
อย่างไรก็ตาม องค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) ระบุในการแถลงเมื่อวันพฤหัสบดี (1 กรกฎาคม) ที่ผ่านมา ว่าไม่อยู่ในสถานะที่จะให้คำแนะนำที่ชัดเจนเกี่ยวกับการให้วัคซีนที่แตกต่างกัน 2 โดส โดยชี้ว่ามีเหตุผลหนักแน่นในทางวิทยาศาสตร์รองรับข้อแนะนำดังกล่าว
ภาพ: Photo by Artur Widak / NurPhoto via Getty Images
อ้างอิง:
