×

GDP ไทยโตถดถอย! คลังเปิดคาดการณ์ GDP ปี 66 โตแค่ 1.8% ส่วนปี 67 คาดโต 2.8% ต่ำกว่ามุมมองแบงก์ชาติ

23.01.2024
  • LOADING...
เศรษฐกิจไทย

โฆษกรัฐบาลมองเศรษฐกิจไทยโตถดถอย หลังปล่อยเอกสารข่าวแจกกระทรวงการคลังล่วงหน้า 1 วันก่อนวันแถลงข่าวกับสื่อมวลชนในวันพรุ่งนี้ (24 มกราคม) โดยคาดการณ์ GDP ไทย ปี 2566 โตได้แค่ 1.8% ต่ำกว่าที่แบงก์ชาติคาดเมื่อต้นปีก่อนที่ 3.6% ส่วนปี 2567 ธปท. คาดโต 3.6% แต่คลังคาดโต 2.8%

 

ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เผยแพร่เอกสารการประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2566 และปี 2567 ของกระทรวงการคลังที่ประทับตราลับ โดยระบุว่า สรุปแล้วผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยในปี 2566 เติบโตเพียง 1.8% เทียบกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์เอาไว้เมื่อต้นปี 2566 ว่าจะเติบโตถึง 3.6% ถือเป็นการเติบโตที่ถดถอยลงกว่าปี 2565 ที่เติบโต 2.6% 

 

ทั้งนี้ เอกสารนี้ของกระทรวงการคลังฉบับนี้ถูกนำมาเผยแพร่ก่อน 1 วันที่ พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 กับสื่อมวลชน โดยกระทรวงการคลังคาดการณ์ว่า ‘เศรษฐกิจไทยหรือ GDP ปี 2566 คาดว่าจะขยายตัว 1.8% (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.6-2%) ชะลอลงจากปี 2565 ที่ขยายตัว 2.6% โดยมีปัจจัยสำคัญจากการหดตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสินค้าในหมวดยานยนต์ คอมพิวเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ 

 

ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งปี 2566 คาดว่าจะหดตัวที่ 1.5% (ช่วงคาดการณ์ที่ -1.8 ถึง 1.3%) ซึ่งเป็นผลจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย ขณะที่มูลค่าการนำเข้าจะหดตัวที่ 1.9% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.2 ถึง -1.7%)

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปี 2566 มาจากภาคการท่องเที่ยวมีการขยายตัวสูงและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ

 

สำหรับในปี 2567 กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเร่งขึ้น 2.8% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.3-3.3%) ขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นจากปี 2566 และเป็นการขยายตัวที่มาจากทุกเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการส่งออกสินค้าและบริการที่ขยายตัวสูง 

 

ในภาคการท่องเที่ยวคาดว่าในปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 33.5 ล้านคน ขยายตัวที่ 19.5% ต่อปี เป็นการเพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนและมาเลเซียเป็นสำคัญ และมีรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 1.48 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.6% ต่อปี ส่งผลดีต่อธุรกิจการท่องเที่ยวและสาขาที่เกี่ยวข้อง 

 

นอกจากนี้คาดว่าการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามอุปสงค์ในตลาดโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวต่อเนื่อง แม้จะชะลอตัวลงเล็กน้อย ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวที่ 4.2% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 3.7-4.7%) และมูลค่าการนำเข้าสินค้าจะขยายตัวที่ 9% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 3.5-4.5%)

 

สำหรับอุปสงค์ภายในประเทศคาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 3.3% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.8-3.8%) ตามการเพิ่มขึ้นของรายได้และกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ในประเทศ 

 

ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.2% (ช่วงคาดการณ์ 2.7-3.7%) 

 

ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ร้อยละ 1% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 0.5-1.5%) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวดี ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ ดุลบริการมีแนวโน้มที่จะกลับมาเกินดุลตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้บัญชีเดินสะพัดในปี 2567 มีแนวโน้มที่จะกลับมาเกินดุล 1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 1.8% ของ GDP

 

เอกสารลับของกระทรวงการคลังที่ถูกคาดการณ์ GDP ไทย มีดังนี้

 

 

 

ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการคลังยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า การพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพในระยะยาวนั้น ควรให้ความสำคัญใน 3 ประเด็น ดังนี้ 

 

  1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Development) เช่น การพัฒนาการใช้พลังงานที่ยั่งยืน การลงทุนในด้านดิจิทัล และการพัฒนาด้านคมนาคมเชื่อมโยงภูมิภาคต่างๆ จะช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ และทำให้ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางในระดับภูมิภาคได้ 

 

  1. การพัฒนาทักษะ (Skills Development) การเตรียมแรงงานให้มีทักษะที่จำเป็นสำหรับเศรษฐกิจโลกมีความสำคัญและจะส่งเสริมความสำเร็จในระยะยาวได้ดี 

 

  1. การรักษาเสถียรภาพทางการคลัง (Fiscal Stability) มุ่งมั่นในการบริหารจัดการการคลังอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงการใช้จ่ายของรัฐและระดับหนี้สาธารณะอย่างรับผิดชอบ เพื่อรักษาความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายต่างๆ ในอนาคตได้

 

นอกจากนั้นยังควรติดตามปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น

 

  1. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่างๆ ที่อาจรุนแรงมากขึ้น อาจเป็นข้อจำกัดและส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป เช่น การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ สถานการณ์สู้รบระหว่างอิสราเอลและฮามาสที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานให้ปรับตัวสูงขึ้น และความยืดเยื้อของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน

 

  1. สถานการณ์การเลือกตั้งผู้นำของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย เช่น สหรัฐอเมริกา ประเทศรัสเซีย และประเทศอินเดีย เป็นต้น ที่อาจส่งผลต่อการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศของไทย 

 

  1. ความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้าหลักและปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป 

 

  1. สถานการณ์เศรษฐกิจของจีนที่อาจส่งผลต่อการส่งออกและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวของไทย

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising