วันนี้ (29 พฤศจิกายน) ที่อาคารรัฐสภา ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และ พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ซึ่งทั้งสามคนเป็นอดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบพรรคไปแล้ว โดยทั้งสามคนเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ
โดยวันนี้ได้เดินทางมายังอาคารรัฐสภาเพื่อเตรียมขึ้นอภิปรายนำเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น หรือร่างรัฐธรรมนูญ ‘ปลดล็อกท้องถิ่น’ พร้อมให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน
ธนาธรระบุว่า การปลดล็อกท้องถิ่นมีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจและหน้าที่ และมีงบประมาณเพียงพอต่อการดูแลบริการสาธารณะพื้นฐาน ทำได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องที่กำหนดห้ามไว้ เช่น ห้ามมีกองทัพเป็นของตัวเอง ห้ามมีศาลเป็นของตัวเอง ห้ามมีเงินตราเป็นของตัวเอง โดยร่างฉบับนี้เสนอให้เกิดการกระจายอำนาจและงบประมาณไปที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงเรายังเสนอให้มีการจัดทำประชามติขอความเห็นจากประชาชน ว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการยุบควบรวมราชการส่วนภูมิภาคต่อไป
ธนาธรกล่าวต่อไปว่า หวังเป็นอย่างยิ่งว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภาทุกคน แม้จะมีความเห็นที่แตกต่างไปในรายละเอียดบ้าง แต่ทุกคนควรจะเห็นด้วยในหลักการ ให้ผ่านวาระ 1 ไปได้ ก่อนจะนำไปสู่การพูดคุยแก้ไขในรายละเอียดว่าเห็นกันอย่างไรในวาระที่ 2 และ 3 ในอนาคตต่อไป
“ผมเชื่อว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเป็นการปลดล็อกพลังและศักยภาพของสังคมไทย ทำให้ประเทศไทยถูกกักขัง ไม่สามารถพัฒนาได้มานาน เดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมีพลังและมีส่วนร่วมของประชาชน ความคิดสร้างสรรค์ของประเทศไทยจะถูกระเบิดออกมา นี่จะเป็น New S-Curve ทางเศรษฐกิจของประเทศไทย” ธนาธรกล่าว
ขณะที่ปิยบุตรระบุว่า การรณรงค์ปลดล็อกท้องถิ่นโดยคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกลที่เริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับและความร่วมมือจากประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ นักวิชาการด้านการกระจายอำนาจ รวมถึงสามสมาคมที่รวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศในทุกระดับ ก็ให้การสนับสนุนร่างฯ นี้เป็นอย่างดี
ปิยบุตรกล่าวต่อว่า คณะก้าวหน้าจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นการร่วมมือกันของทุกฝ่ายให้ร่างฯ นี้ผ่านไปได้ในวาระที่ 1 เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมา ส.ส. และ ส.ว. หลายคนเองก็มีจุดยืนสนับสนุนการกระจายอำนาจมาโดยตลอด ทั้งนี้ หากร่างฯ นี้ ผ่านวาระที่ 1 ไปได้ แม้มีการยุบสภาก่อนหรือมีการเปลี่ยนแปลงให้สภาสิ้นอายุลง คณะรัฐมนตรีสมัยหน้าหรือผู้เข้าชื่อ ก็สามารถยืนยันกลับมาได้ในสภาชุดต่อไป ส่วนข้อกังวลเรื่องการทุจริตที่จะเพิ่มมากขึ้นนั้น ขอยืนยันว่าการกระจายอำนาจต่างหากที่จะทำให้การทุจริตลดน้อยลง
“ประเทศไทยมีการทุจริตอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าไม่กระจายอำนาจแล้วไม่มีการทุจริต แต่การกระจายอำนาจจะทำให้การตรวจสอบเข้มข้นขึ้นด้วยการตรวจสอบจากภาคพลเมือง เสริมจากกลไกตรวจสอบทุจริตที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน และบทเรียนจากอินโดนีเซียที่มีการกระจายอำนาจอย่างเต็มที่เกิดขึ้นแล้ว ก็พบด้วยว่าดัชนีการทุจริตยิ่งต่ำลงเมื่อยิ่งมีการกระจายอำนาจมากขึ้น การกระจายอำนาจจึงไม่ได้เท่ากับกระจายการทุจริตแน่นอน” ปิยบุตรกล่าว
ด้านพรรณิการ์ระบุว่า การปลดล็อกท้องถิ่นไม่ใช่เรื่องห่างไกลของผู้คนที่กำลังเผชิญวิกฤตเรื่องปากท้องเลย เพราะการปลดล็อกท้องถิ่นจะทำให้ท้องถิ่นสามารถพัฒนางานและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนให้เกิดขึ้นในท้องถิ่นบ้านเกิดของทุกคนได้ พาคนไทยที่พลัดถิ่นมาทำงานในเมืองใหญ่ให้กลับบ้านได้ มีงานในพื้นที่ นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความกินดีอยู่ดีของคนไทยทุกคน และคณะก้าวหน้าอยากให้ประชาชนทุกคนช่วยกันจับตาดูการพิจารณาของรัฐสภาในสองวันนี้
“นี่จะเป็นการปฏิรูประบบการบริหารราชการแผ่นดินครั้งใหญ่ ครั้งสำคัญในช่วง 130 ปีที่ผ่านมา น่าคิดว่าเป็นไปได้อย่างไรถ้าเป็นองค์กร บริษัท หรือประเทศไหนบนโลก ที่อยู่แบบเดิมมานานขนาดนี้แล้ว นี่คือโอกาสที่รัฐสภาชุดนี้จะเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบ 130 ปี นำพาประเทศไทยไปสู่ความก้าวหน้ายิ่งขึ้น” พรรณิการ์กล่าว