ผู้จัดการกองทุนแนะจับจังหวะลงทุนหุ้นไทย-หุ้นโลก ระบุระยะยาวกองทุนหุ้น ‘เทคโนโลยี-ดาต้าเซ็นเตอร์-โลจิสติกส์’ ยังน่าสนใจเข้าสะสม เพราะเป็นกระแสธุรกิจหลักของเศรษฐกิจโลก พร้อมประเมินการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นไทยรอบนี้อาจต่อเนื่อง 2 เดือน
วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.พรินซิเพิล กล่าวว่าบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกขณะนี้ได้รับปัจจัยบวกอย่างมากจากความคืบหน้าในการวิจัยและผลิตวัคซีนป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19
อย่างไรก็ตาม มองว่าเป็นการตอบรับระยะสั้นเท่านั้น เพราะกว่าจะสามารถผลิตวัคซีนและนำมาใช้ได้ทั่วโลกอาจต้องใช้ระยะเวลาอีกนาน ในขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกสองจะรุนแรงและสร้างความเสียหายวงกว้างกว่าเดิมมาก
ในส่วนของการจัดพอร์ตลงทุนนั้น บลจ.พรินซิเพิล ให้น้ำหนักลงทุนหุ้นมากกว่าสินทรัพย์อื่น หากนักลงทุนยังไม่ได้เข้าลงทุนก็สามารถเข้าลงทุนในจังหวะนี้ โดยเลือกหุ้นที่เป็น Defensive Stock ได้ และสำหรับนักลงทุนที่เข้าสะสมก่อนหน้านี้ก็สามารถขายเพื่อทำกำไรครั้งนี้ก่อน แล้วค่อยเข้าสะสมอีกครั้งเมื่อดัชนีย่อตัวหลังจากตอบรับข่าวดีเรื่องวัคซีนไปในระยะเวลาหนึ่ง
ส่วนสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำนั้น ขณะนี้ยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุน เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ปลอดภัยยังผันผวนอยู่ตามปัจจัยทางเศรษฐกิจ เม็ดเงินลงทุน และความเคลื่อนไหวของสินทรัพย์เสี่ยง ส่วนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มกลับมาน่าสนใจและเข้าสะสมได้ โดยให้น้ำหนักลงทุนมากกว่าตลาด
“ยังคงเชื่อมั่นในเทรนด์เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนธุรกิจ โดยแนะนำให้ลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี ดาต้าเซ็นเตอร์ และโลจิสติกส์ สามารถลงทุนรายบริษัทหรือลงทุนผ่านกองทุนก็ล้วนถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าสะสม”
มณฑล จุนชยะ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.วรรณ กล่าวว่า บลจ. ยังคงกลยุทธ์การลงทุนไว้เช่นเดิมคือให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นไทยและต่างประเทศ 40% และตลาดตราสารหนี้ 60% แม้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างก็ตาม โดยจากการจัดพอร์ตลงทุนดังกล่าวพบว่าได้รับผลตอบแทน 6%YTD
ทั้งนี้ ประเมินว่าการปรับขึ้นของดัชนีในรอบนี้จะสามารถต่อเนื่องได้ประมาณ 2 เดือน หรือจนถึงเดือนมกราคม 2564 ซึ่งจะเป็นช่วงที่ โจ ไบเดน จะแถลงนโยบายในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ
“การปรับขึ้นรอบนี้มาจากการปลดล็อกความไม่แน่นอนที่ตลาดเผชิญมาตลอด ก็คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการวิจัยและผลิตวัคซีน เมื่อความไม่แน่นอนหายไป แม้จะไม่หมด แต่ก็ถือว่ามีความชัดเจนกว่าเดิมมาก ตลาดหุ้นก็ตอบรับข่าวดีนี้ และเม็ดเงินลงทุนก็เริ่มกลับมาหากลุ่มธุรกิจที่เคย Laggard และขายหุ้นที่เคยรับอานิสงส์จากโควิด-19 เช่น กลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงเม็ดเงินจะไหลเข้าประเทศที่เคยถูก Laggard อย่างเอเชียและตลาดเกิดใหม่ ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งนั้น”
มณฑลกล่าวว่าหากประเมินปัจจัยพื้นฐานของกลุ่มเทคโนโลยี มองว่ายังมีโอกาสการเติบโตอีกมาก แต่ราคาหุ้นที่ผ่านมาก็แพงเช่นกัน หากเทียบหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปัจจุบันกับกลุ่มดอทคอมในปี 2000 จะพบว่ามีความแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะในด้านการเติบโตของผลประกอบการ ฉะนั้นการที่ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับลดลงรอบนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าสะสม
สอดคล้องกับ ชยนนท์ รักกาญจนันท์ Co-Founder FINNOMENA ให้ความเห็นว่าการปรับขึ้นของตลาดหุ้นครั้งนี้ เนื่องจากนักลงทุนให้ความเชื่อมั่นในข่าวการผลิตวัคซีนป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 มากเกินไป ซึ่งหลังจากนี้ดัชนีมีความเสี่ยงที่จะเกิดการปรับฐาน สังเกตจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เปิดบวกสูงมาก แต่ก็ปรับลดลงระหว่างวัน และปิดการซื้อขายท้ายตลาดที่ไม่สูงนัก
“เชื่อว่าตลาดจะปรับฐาน เพราะหลังจากนี้เริ่มรับรู้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวัคซีนจาก Pfizer ที่ประกาศออกมาล่าสุด ซึ่งก็ยังไม่ได้ผลดีเยี่ยมตามที่ประกาศในช่วงแรก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับการปรับขึ้นของดัชนีคือการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนออกจากตลาดตราสารหนี้มายังตลาดหุ้น”
เขากล่าวว่าการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนมาสู่ตลาดหุ้นครั้งนี้จะกระจายการลงทุนในตลาดหุ้นและน่าจะอยู่ค่อนข้างนาน เพราะเงินที่เคลื่อนย้ายมาจากกองทุนขนาดใหญ่
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์