Frieze Seoul งานแฟร์และเทศกาลศิลปะชั้นนำระดับโลกกลับมาอีกครั้งในปี 2025 ในวันที่ 3-6 กันยายน และถือว่าเป็นครั้งที่ 4 ที่งานนี้จัดขึ้นในเกาหลีใต้นับตั้งแต่ปี 2022 ที่ศูนย์การประชุม COEX ในย่างกังนัมของกรุงโซล
งานนี้ถือว่าเป็นที่น่าจับตามองไม่แพ้งานแฟร์ศิลปะใหญ่ๆ ในเอเชียอย่าง Art Basel ของฮ่องกงหรือ Art SG ของสิงคโปร์ ซึ่งการเป็นแหล่งรวมผลงานศิลปะร่วมสมัยและศิลปะโบราณจากทั่วโลกถึง 120 หอศิลป์และแกลเลอรีจาก 30 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยให้นักสะสมได้มาเลือกซื้อและเลือกชมผลงาน
ทันทีที่ประตูของฮอลล์ C และ D ของ COEX เปิดขึ้นในวันแรกเราก็ได้พบกับบูธจัดแสดงที่แบ่งออกเป็นโซนๆ เริ่มที่โซนหลักจากแกลลอรีชั้นนำของโลกกับผลงานของศิลปินชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น White Cube, Pace Gallery, Thaddaeus Ropac, David Zwirner, Hauser & Wirth และ Gagosian
รวมไปถึงตัวแทนจากประเทศไทยอย่าง SAC Gallery ที่เข้ามาอยู่ในโซนหลักของงานครั้งแรก กับผลงานของ ประพัทธ์ จิวะรังสรรค์ ผู้กำกับรุ่นใหม่ที่นำเสนอผลงานภาพถ่ายและวิดีโอชื่อว่า The Portrait of Asian Family สื่อถึงความซับซ้อนในครอบครัวชาวเอเชียที่มีเรื่องความต่างอายุวัย สังคม และวัฒนธรรม
และ Gongkan ที่เอาภาพวาดและประติมากรรมมาจัดแสดง ทั้งภาพวาด Whispers of Survival และ Tender Violence ร่วมกับแกลอรี Tang Contemporary Art ที่หลายๆ คนคงเห็นภาพของ LISA แอบมาร่วมแสดงความยินดีถึงที่บูต
ตามมาด้วยโซน Focus Asia ที่ทาง Frieze Seoul จัดขึ้นเพื่อแนะนำแกลลอรีเกิดใหม่จากเอเชียที่เป็นผู้แทนของศิลปินรุ่นใหม่ในภูมิภาค และ Frieze Masters อีกหนึ่งจุดเด่นของงานแฟร์ที่เอาศิลปะโบราณทั้งของตะวันตกและตะวันออกมาให้นักสะสมและตัวแทนจากพิพิธภัณฑ์ได้ชมและเก็บเป็นเจ้าของ อย่างเช่นแกลลอรี Les Enluminures จากลอนดอนที่เอาหนังสือต้นฉบับ ตำราบทสวด และเครื่องประดับจากยุคกลางมาออกบูธ
ความคึกคักไม่ได้เกิดขึ้นในแค่ฮอลของ COEX แต่ยังกระจายไปรอบๆ กรุงโซลที่แต่ละย่านก็เวียนกันจัดงานศิลปะและการแสดง ร่วมกับพิพิธภัณฑ์ของรัฐและเอกชนใหญ่ๆ และแกลลอรีในเขตของตัวเอง
เช่นในย่านชังชุง ก็มี Frieze House Seoul สถานที่แบบถาวรของ Frieze ที่ครั้งนี้รวมเอาผลงานจากศิลปินจากกลุ่มหลากหลายทางเพศมาไว้ในที่เดียว ถัดมาที่ย่านซัมชองดงกับ Kukje Gallery และ Art Sonje Center ที่ Adrián Villar Rojas ได้เทคโอเวอร์ทั้งตึกเพื่อใส่ผลงานประติมากรรมขนาดใหญ่แบบโลกหลังยุคโลกาวินาศไว้ข้างใน
Patrick Lee ผู้อำนวยการของ Frieze Seoul ได้กล่าวกับเราว่า “การตอบรับในปีนี้ถือว่าดีมาก คนทั้งเมืองให้การตอบรับเป็นอย่างดี นี่คือการเติบโตแบบออร์แกนิกที่เราเห็นคนทุกภาคส่วนมารวมตัวกัน เอเชียเป็นทวีปที่มีความหลากหลาย นี่คือจุดเด่นของ Frieze Seoul ที่เราสามารถรวมทั้งแกลอรี ศิลปิน หอศิลป์ และนักสะสมมาไว้ในฮอลแห่งนี้ และยังส่งผลดีต่อประเทศและเมืองด้วย”
หนึ่งในนิทรรศการไฮไลต์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้คือ Mark Bradford ศิลปินชาวอเมริกันจากลอสแองเจลลิส ที่กำลังมีงานจัดแสดงที่ชื่อว่า Mark Bradford. Keep Walking ที่ Amorepacific Museum of Art แถมผลงานภาพวาดสีน้ำมันของเขาที่ชื่อว่า Okay, then I apologize จากปี 2025 นี้ที่อยู่ในบูตของแกลลอรีดังอย่าง Hauser & Wirth สามารถปิดการขายได้ถึง 4.5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 145 ล้านบาทโดยนักสะสมศิลปะจากเอเชีย
และในตึกเดียวกันที่ฝั่ง Amorepacific Museum of Art Cabinet ทางแกลลอรี Gagosian ก็เป็นเจ้าภาพจัดนิทรรศการป็อปอัป Seoul, Kawaii Summer Vacation ของ Takashi Murakami ที่เป็นการจัดแสดงเดี่ยวครั้งแรกของศิลปินชาวญี่ปุ่นในโซลตั้งแต่ปี 2013
สิ่งที่เราได้กลับไปจากงาน Frieze Seoul นอกเหนือจากการได้เห็นตัวแทนจากแกลลอรีทั่วโลกเอาผลงานชิ้นเด่นราคาหลักล้านมาโชว์ แต่คือความสำคัญของกรุงโซลที่ยกระดับตัวเองให้กลายมาเป็นศูนย์กลางด้านศิลปะและวัฒนธรรมของเอเชียอย่างเป็นรูปธรรมอย่างมีระบบ ไม่ใช่เพียงแค่ศิลปินที่จะมีโอกาสได้โชว์ผลงาน และนำไปสู่การปิดการขาย แต่ทั้งชุมชนในย่าน ผู้คนทั่วไปในพื้นที่ที่ไม่อาจเห็นผลงานจากต่างประเทศก็ได้มีส่วนร่วมและออกมาชื่นชมผลงานกันทั้งเมือง
ภาพ: Frieze Seoul