ในโลกของธุรกิจสมัยใหม่ โดยเฉพาะบริษัทที่เติบโตจากสตาร์ทอัพเล็กๆ ไปสู่องค์กรขนาดใหญ่ หนึ่งในคำถามที่สำคัญที่สุดคือ วิธีการบริหารที่ดีที่สุดคืออะไร? แนวคิดการบริหารที่ได้รับความนิยมในโลกตะวันตกมักเน้นการมอบอำนาจให้ทีมงาน หรือที่เรียกว่า Manager Mode ซึ่งซีอีโอและผู้ก่อตั้งจะค่อยๆ ถอยออกจากการทำงานเชิงลึก และปล่อยให้ผู้จัดการมืออาชีพเข้ามาควบคุมบริษัท แต่แนวคิดใหม่นี้กลับมองว่าวิธีนี้อาจทำลายจิตวิญญาณของบริษัทเสียเอง
นี่จึงเป็นที่มาของแนวคิดที่มีชื่อว่า Founder Mode นั่นเอง
Founder Mode คืออะไร?
Founder Mode คือแนวคิดการบริหารที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้ก่อตั้งในทุกกระบวนการของบริษัท ไม่ใช่แค่กำหนดวิสัยทัศน์เท่านั้น แต่ต้องลงลึกในรายละเอียดของผลิตภัณฑ์และการดำเนินงาน ซึ่งแตกต่างจากตำราการบริหารแบบดั้งเดิมที่ถูกนิยามว่า Manager Mode ซึ่งเน้นการกระจายอำนาจและมอบหมายงานให้กับผู้จัดการระดับต่างๆ
Manager Mode เป็นแนวทางบริหารที่พบบ่อยในองค์กรขนาดใหญ่ โดยเน้นการจัดการผ่านโครงสร้างองค์กรที่มีลำดับขั้นชัดเจน ซีอีโอหรือผู้บริหารระดับสูงจะทำหน้าที่กำหนดกลยุทธ์ และมอบหมายงานให้กับผู้จัดการ ซึ่งจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลและตัดสินใจในส่วนต่างๆ ของบริษัท วิธีนี้ช่วยให้บริษัทสามารถขยายตัวได้อย่างเป็นระบบ ลดการพึ่งพาผู้ก่อตั้งเพียงคนเดียว และทำให้ทีมงานสามารถทำงานได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น
กล่าวคือ ใน Founder Mode นั้น ซีอีโอไม่ใช่แค่ผู้นำที่กำหนดทิศทางขององค์กรเท่านั้น แต่ยังต้องมีบทบาทเหมือน Product Owner ที่เข้าใจรายละเอียดของผลิตภัณฑ์เป็นอย่างดี ต้องรู้ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัททำงานอย่างไร และต้องสามารถให้ฟีดแบ็กเชิงลึกแก่ทีมได้
ซีอีโอที่ทำหน้าที่ในลักษณะนี้จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์สามารถพัฒนาไปในทิศทางที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กร แทนที่จะปล่อยให้การตัดสินใจขึ้นอยู่กับผู้จัดการหรือฝ่ายอื่นๆ ที่อาจไม่ได้มองเห็นภาพรวมทั้งหมดของบริษัท
กรณีศึกษาจาก Brian Chesky ผู้นำของ Airbnb
หนึ่งในบุคคลที่เป็นตัวแทนของแนวคิดนี้คือ Brian Chesky ผู้ร่วมก่อตั้ง Airbnb ซึ่งกลับมาบริหารบริษัทในแบบ Founder Mode หลังจากพบว่าการบริหารแบบ Manager Mode ทำให้บริษัทเริ่มสูญเสียจิตวิญญาณของการเป็นสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมสูง เขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตในช่วงโรคโควิด ซึ่งทำให้ธุรกิจของ Airbnb หดตัวถึง 80% ภายใน 8 สัปดาห์
นอกจากนี้ Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple และ Elon Musk ผู้บริหารของ Tesla และ SpaceX ต่างก็เป็นตัวอย่างของผู้นำที่ใช้แนวทางนี้ พวกเขาเชื่อว่าซีอีโอต้องมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่แค่บริหารจากเบื้องบนเท่านั้น
ความแตกต่างระหว่าง Founder Mode และ Manager Mode
Founder Mode และ Manager Mode มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในหลายมิติ Founder Mode เป็นแนวทางที่ผู้ก่อตั้งยังคงมีบทบาทสำคัญในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตัดสินใจทางธุรกิจ ผู้ก่อตั้งจะลงลึกในรายละเอียด ควบคุมทิศทางขององค์กรด้วยตัวเอง และมักใช้สัญชาตญาณและวิสัยทัศน์มากกว่าขั้นตอนที่เป็นระบบ
ในขณะที่ Manager Mode จะเน้นไปที่โครงสร้างองค์กรและการบริหารจัดการแบบมีระบบ ผู้จัดการจะรับผิดชอบงานในแต่ละส่วน ทำให้ซีอีโอสามารถมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ระดับสูงแทน
ในด้านพลังงานและวัฒนธรรมองค์กร Founder Mode มักส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ก่อตั้งจะทำงานใกล้ชิดกับทีมงานและสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ Manager Mode จะมุ่งเน้นไปที่การบริหารที่เป็นระเบียบ ลดความเสี่ยง และสร้างความมั่นคงให้กับองค์กร ซึ่งอาจทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นช้ากว่า
กล่าวคือ เมื่อซีอีโอหรือผู้นำองค์กรใดๆ ก็ตามสวมหมวกของ Founder Mode แล้ว จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชัดๆ 4 อย่างด้วยกัน
- ความเข้าใจในรายละเอียด: ซีอีโอที่ลงลึกในรายละเอียดสามารถตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้บริษัทพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง
- รักษาวัฒนธรรมองค์กร: การบริหารแบบนี้ช่วยรักษาจิตวิญญาณขององค์กรไว้ได้ แม้บริษัทจะเติบโตขึ้น
- การแก้ปัญหาเชิงรุก: การบริหารในลักษณะนี้ทำให้สามารถตัดสินใจและแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
- สร้างมาตรฐานที่สูงขึ้น: ผู้ก่อตั้งสามารถกำหนดมาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการได้โดยตรง แทนที่จะปล่อยให้มาตรฐานลดลงเมื่อมีการขยายองค์กร
ข้อเสียของ Founder Mode
แน่นอนว่าแนวคิดนี้ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป หนึ่งในข้อเสียที่สำคัญคือ ภาระงานของซีอีโอจะหนักขึ้น เพราะต้องลงไปดูรายละเอียดในทุกแง่มุมของบริษัท ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเหนื่อยล้าหรือขาดเวลาสำหรับการวางกลยุทธ์ระยะยาว นอกจากนี้ยังอาจทำให้ทีมงานรู้สึกว่าถูกควบคุมมากเกินไปและไม่มีอิสระในการทำงาน
Founder Mode คือคำตอบของการบริหารในอนาคตหรือไม่?
การเลือกใช้ Founder Mode หรือ Manager Mode ขึ้นอยู่กับขนาดและวัฒนธรรมขององค์กร หากเป็นบริษัทขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น การใช้ Founder Mode อาจเป็นทางเลือกที่ดี เพราะช่วยให้บริษัทเติบโตรวดเร็วและมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น อาจต้องหาสมดุลระหว่างทั้งสองแนวทาง เพื่อให้สามารถขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่สูญเสียจิตวิญญาณขององค์กร
องค์กรที่เหมาะกับ Founder Mode มักเป็นสตาร์ทอัพหรือบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ซึ่งต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็วและการมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งจากผู้ก่อตั้ง เช่น บริษัทเทคโนโลยี สื่อสร้างสรรค์ หรือธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและต้องการความแตกต่างที่ชัดเจนในตลาด
ในทางกลับกัน องค์กรที่ไม่เหมาะกับ Founder Mode มักเป็นบริษัทที่อยู่ในช่วงขยายตัวแบบองค์กรขนาดใหญ่ หรืออุตสาหกรรมที่ต้องการความเสถียรสูง เช่น ธนาคาร บริษัทพลังงาน หรือองค์กรภาครัฐ ที่ต้องการโครงสร้างการบริหารที่เป็นระบบและความสม่ำเสมอในการดำเนินธุรกิจมากกว่าการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว
ท้ายที่สุดแล้วไม่มีแนวทางใดที่ถูกต้อง 100% ไม่มีองค์กรไหนที่เหมือนกันทั้งหมดทุกองค์ประกอบ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้นำองค์กรก็คือการเลือกใช้แนวทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์และเป้าหมายของบริษัทในช่วงเวลานั้นๆ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ชมคลิปเต็มได้ที่: Founder Mode ฉีกตำราบริหาร MBA โดย Brian Chesky ผู้นำ Airbnb | The Secret Sauce EP.812