×

แค่ชั่วคราวหรือไม่? ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทย 4 วันรวด ครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มขายหนักเมื่อเดือน ก.พ. 66

20.07.2023
  • LOADING...
ตลาดหุ้นไทย

ข้อมูลการซื้อขายของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วง 4 วันทำการที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 14-19 กรกฎาคม 2566 นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 4 วันทำการติดต่อกันรวม 3.92 พันล้านบาท นับเป็นการซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นครั้งแรก หลังจากที่เริ่มเทขายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์

 

นอกจากต่างชาติแล้ว นักลงทุนสถาบันในประเทศก็เป็นฝ่ายที่ซื้อสุทธิมาต่อเนื่อง 4 วันเช่นเดียวกัน คิดเป็นมูลค่ารวม 2.94 พันล้านบาท สวนทางกับนักลงทุนรายย่อยที่ขายสุทธิ 4 วันรวด คิดเป็นมูลค่ารวม 7.64 พันล้านบาท 

 

บล.ทรีนีตี้คาด แรงซื้อต่างชาติแค่ชั่วคราว

 

ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ มองว่า แรงซื้อของต่างชาติต้องให้น้ำหนักเรื่องการเมือง 100% เพราะเกิดขึ้นหลังจากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งแรกไม่สำเร็จ 

 

“หลังจากนั้นจึงเห็นฟันด์โฟลวไหลเข้าทั้งในตลาดหุ้นฟิวเจอร์สและตราสารหนี้ และยังเห็นแรงเก็งกำไรในค่าเงินบาทเข้ามาด้วย ทำให้เงินบาทแข็งค่าราว 1.7% มากที่สุดในบรรดาสกุลเงินเอเชียในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนสกุลเงินในเอเชียที่แข็งค่าเป็นอันดับสองอย่างรูปีอินเดีย แข็งค่าเพียง 0.1-0.2%”

 

ณัฐชาตกล่าวต่อว่า แรงซื้อต่างชาติจะเกิดขึ้นต่อเนื่องหรือไม่นั้น คงต้องจับตาดูว่าจะเกิดการลุกฮือของมวลชนจนนำไปสู่ความรุนแรงหรือไม่ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ได้เป็นเช่นนั้น ประกอบกับปัจจัยอื่นนอกเหนือจากเรื่องการเมือง

 

สำหรับปัจจัยภายนอกคงต้องดูแนวนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เป็นสำคัญ ณ วันนี้ตลาดให้น้ำหนักกับการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้ เป็นครั้งสุดท้าย แต่หากมีการส่งสัญญาณว่า Fed ยังไม่ได้ปิดประตูการขึ้นดอกเบี้ย อาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ดีดกลับได้ 

 

ส่วนปัจจัยภายในประเทศ การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ช่วงเดือนหน้า ตลาดรับรู้ไปแล้ว 80% หลังจากนี้คงต้องติดตามแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียน และคาดการณ์แนวโน้มกำไรว่าจะถูกปรับลงอีกหรือไม่ และยังมีความเสี่ยงเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า ทำให้การเบิกจ่ายล่าช้าออกไป 

 

“โดยรวมแล้วไม่เชื่อว่าต่างชาติจะซื้อสุทธิในหุ้นไทยต่อเนื่อง ขณะนี้เป็นเพียงการตอบรับปัจจัยการเมืองที่เอียงไปทางด้านรัฐบาลที่ไม่มีก้าวไกล คิดว่าดัชนีที่ระดับ 1,560 จุด น่าจะเริ่มเห็นการหยุดซื้อหรือมีแรงขายออกมา” 

 

บล.ฟิลลิปแนะจับตากลุ่มค้าปลีกและไฟแนนซ์

 

ขณะที่ ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่า แรงซื้อขายต่างชาติเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าจับตามอง หลังจากที่ขายออกมากว่า 1 แสนล้านบาท นับแต่ต้นปี 

 

“หากรัฐบาลใหม่สามารถจัดตั้งได้ทันในไตรมาสนี้ อาจเห็นการเข้าสะสมรอบใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ต่างชาติขายออกไปมากกว่าครึ่งหนึ่งของที่ซื้อเมื่อปีก่อน”

 

กลุ่มหุ้นที่ถูกขายหนักก่อนหน้านี้คือกลุ่มทุนใหญ่ หากแรงซื้อกลับมาจริงหุ้นกลุ่มทุนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ได้อานิสงส์ ส่วนระดับดัชนีเป้าหมายในปัจจุบันคงต้องดูที่ระดับ 1,600 จุดก่อน ส่วนกรณีดีสุดหากไม่มีเรื่องของการชุมนุมรุนแรง ดัชนีอาจไปได้ถึง 1,630-1,650 จุด 

 

“หากเพื่อไทยขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล คงต้องดูว่านโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะถูกนำกลับมาหรือไม่ ซึ่งนโยบายนี้จะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีกและไฟแนนซ์” 

 

ฟันด์โฟลวแห่เข้าหุ้นเอเชีย

 

ช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ฟันด์โฟลวต่างชาติเป็นฝั่งของการซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียที่ไม่รวมหุ้นจีน (Asia ex China) ด้วยมูลค่ากว่า 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้าหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ผ่าน Hong Kong’s Stock Connect ราว 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ จากข้อมูลของ Goldman Sachs

 

สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นมุมมองเชิงลบต่อหุ้นจีนของบรรดานักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่ จากการสำรวจความเห็นของ Bank of America (BofA) สะท้อนว่าผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่จากทั้งหมด 260 คน ซึ่งมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวม 6.5 แสนล้านดอลลาร์ ปรับน้ำหนักการลงทุนของจีนลงเป็น Underweight 

 

ในมุมกลับกัน 86% ของผู้จัดการกองทุนจากการสำรวจความเห็นของ BofA คาดว่าหุ้นในเอเชีย-แปซิฟิกที่ไม่รวมญี่ปุ่นจะปรับตัวขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า 

 

Manishi Raychaudhuri หัวหน้าฝ่ายวิจัยตลาดทุนเอเชีย-แปซิฟิกของ BNP Paribas กล่าวว่า ธีมหลักสำหรับเอเชียในปีนี้คือซื้อหุ้นอินเดียและหุ้นเทคที่หนุนด้วย AI ส่วนอีกสองธีมที่น่าสนใจคือตลาดหุ้นไต้หวันและเกาหลีใต้ ซึ่งได้แรงหนุนจาก AI เช่นกัน และมีเงินทุนไหลเข้า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ และ 9 พันล้านดอลลาร์ ตามลำดับ 

 

ส่วนมุมมองของณัฐชาตต่อตลาดหุ้นเอเชียที่น่าสนใจนั้น เชื่อว่าหุ้นฟิลิปปินส์เป็นตลาดที่น่าจะเห็นเงินทุนไหลเข้าและน่าสนใจมากที่สุดในระยะถัดไป หลังจากที่เริ่มเห็นการปรับประมาณการกำไรขึ้นมาในช่วง 1 เดือนล่าสุด ขณะที่การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายหยุดลงไปตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม และดัชนียังปรับตัวขึ้นไม่มากนัก

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising