“เมื่อไรทีมชาติไทยจะได้ไปฟุตบอลโลก”
เชื่อว่าในชีวิตหลายคนต้องเคยได้ยินคำถามนี้มาบ้าง บางครั้งเป็นการถามทีเล่นทีจริง บางครั้งเป็นการถามด้วยความคาดหวัง และอีกไม่น้อยเป็นการถามด้วยความตัดพ้อ
ยิ่งผลการแข่งขันนัดล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ที่ทีมชาติไทยชุดใหญ่พ่ายแพ้ให้กับทีมชาติจีนที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ทำให้หลายฝ่ายต่างออกมาวิจารณ์อย่างรุนแรง ทั้งเรื่องของแท็กติก ฟอร์มการเล่น ไปจนถึงสนามแข่งขัน แต่เมื่อหมอกของความผิดหวังเริ่มบางลง จึงเป็นเวลาของการทบทวนความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
* สถิติทั้งหมดในบทความนี้นับจนถึงวันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561 เท่านั้น
พัฒนาแบบก้าวกระโดดของฟุตบอลจีน สะท้อนภาพวงการฟุตบอลไทย
อะไรที่ทำให้ทีมชาติจีนที่เคยสูสีกับทีมชาติไทยเมื่อไม่นานมานี้สามารถยกระดับจนมาเอาชนะเราได้ถึงถิ่น
หลายคนมองไปถึงไชนีสซูเปอร์ลีก ที่กำลังเงินของชาติมหาอำนาจอย่างจีนนั้นดึงดูดทั้งโค้ชและนักเตะระดับโลกมาวาดลวดลายในลีกสูงสุดของแดนมังกรได้
ชื่อนักฟุตบอลที่คนไทยคุ้นหูอย่าง นิโกลาส์ อเนลกา, เซดู เกตา, เฟเดอริค กานูเต, ดิดิเยร์ ดร็อกบา ไปจนถึงสองสตาร์ชาวบราซิลอย่าง ฮัคและออสการ์ คือยอดนักเตะที่ทยอยเข้ามาค้าแข้งในประเทศจีน ทำให้นักเตะจีนได้ประสบการณ์ในการเล่นกับนักฟุตบอลระดับโลกชนิดที่ว่าไม่ต้องไปไกลถึงยุโรป
ถึงกระนั้นสมาคมฟุตบอลจีนก็ไม่ได้ทิ้งการพัฒนานักเตะของตัวเอง โควตาผู้เล่นต่างชาติ กฎการเสียภาษีในการซื้อตัวผู้เล่นต่างชาติเพื่อพัฒนาวงการฟุตบอล รวมถึงศูนย์ฟุตบอลเยาวชน ทำให้วงการฟุตบอลจีนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนถึงขั้นวางเป้าหมายในการเป็นมหาอำนาจลูกหนังในปี 2050 แน่นอนว่าระดับพญามังกรแห่งเอเชีย จะให้ตั้งเป้าแค่ไปแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายย่อมไม่พอสำหรับพวกเขาอีกต่อไป
บางคนอาจจะหัวเราะกับเป้าหมายนี้ เช่นเดียวกับที่เคยหัวเราะการกับการ์ตูนกัปตันซึบาสะที่พาทีมชาติญี่ปุ่นไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายก่อนทีมชาติชุดใหญ่จริงๆ จะเข้ารอบเสียอีก
แต่เราคงเห็นแล้วจากผลการแข่งขันของทั้งสองชาติที่ผ่านมาแล้วว่าพวกเขาคงไม่ได้มองมันเป็นเรื่องตลกสักเท่าไร
กลับมาที่ฟุตบอลทีมชาติไทย การแข่งขันไทยลีก หากใครที่ติดตามจะรู้ว่าแข็งแกร่งขึ้นมาก หลายทีมมีการบริหารที่มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น แม้จะไม่ได้มีเงินลงทุนขนาดลีกจีน แต่การพัฒนาก็เรียกได้ว่าดีขึ้นปีต่อปี มีทีมสโมสรตบเท้าเข้าร่วมเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีกและฝากผลงานที่น่าจดจำไว้ไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม หากจะมีสิ่งใดที่ทำให้ทีมชาติหนึ่งจะไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ นอกจากการเป็นเจ้าภาพคือ ‘ระบบพัฒนาเยาวชน’ ซึ่งไทยเริ่มได้เห็นบ้างแล้ว ตั้งแต่แข้งซูเปอร์สตาร์คนใหม่อย่าง ‘เมสซีเจ’ ชนาธิป สรงกระสินธ์ จนถึงดาวรุ่งความหวังใหม่อย่าง ศศลักษณ์ ไหประโคน นักเตะจากระดับเยาวชนที่ก้าวขึ้นมามีฝีเท้าจัดจ้าน พร้อมกับความเข้าใจระบบการเล่นและการดูแลโภชนาการที่ดีขึ้น
นักเตะต่างชาติในไทยลีกนั้น แม้จะไม่มีนักเตะระดับออสการ์มาเล่น แต่แข้งต่างชาติอย่าง เฮแบร์ตี้ แฟร์นานเดส, ดิโอโก หลุยส์ ซานโต หรือกระทั่ง มาริโอ ยูรอฟสกี้ ก็เป็นฟันเฟืองหนึ่งที่ทำให้นักเตะไทยได้พัฒนาทั้งในการซ้อมและการแข่งขันในทุกๆ สัปดาห์
นอกจากนี้ ไทยก็ยังเป็นประเทศที่นักเตะดังหลายคนไม่เกี่ยงในการมาเปิดคลินิกฟุตบอลให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ และ เดวิด เจมส์ คือนักเตะรายล่าสุดนั้น โดยจุดหมายของอดีตนายทวารทีมชาติอังกฤษคือระยอง
Football Clinic ความหวังในการพัฒนาเยาวชนไทยให้เทียบชั้นนักเตะต่างชาติ
โครงการฝึกสอนทักษะ ‘Football Clinic By David James’ เกิดจากการร่วมมือของจังหวัดระยอง กับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ที่เชิญเดวิด เจมส์ อดีตผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษและสโมสรลิเวอร์พูล มาท่องเที่ยวและจัดโครงการฝึกสอนทักษะให้กับเด็กไทย นอกเหนือจากที่ได้จัดโครงการนักฟุตบอลน้อยที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 4 เพื่อฝึกสอนทักษะฟุตบอลให้กับชุมชนและโรงเรียนต่างๆ ทั่วจังหวัดระยอง รวมไปถึงการจัดฝึกอบรมให้กับผู้ฝึกสอนท้องถิ่น
น่าสนใจว่าจังหวัดระยองนั้นมีความพร้อมด้านฟุตบอลอยู่ไม่น้อย เพราะปัจจุบันมีสองสโมสรโลดแล่นอยู่ใน T2 และทำผลงานได้อย่างน่าจับตาถึง 2 ทีม ทั้ง ระยอง เอฟซีและ พีทีที ระยอง โดยเฉพาะรายหลังโอกาสจะกลับไปเล่นในไทยลีกมีไม่น้อยเลยทีเดียว
เรียกได้ว่าระยองนั้นมีความเป็นเมืองแห่งกีฬาอีกแห่งที่มีความพร้อมในการใช้กีฬาช่วยพัฒนาชุมชนไม่แพ้ที่ไหนในประเทศ และการมาเยี่ยมเยือนของเจมส์สร้างความตื่นเต้นให้เยาวชนชาวระยองอย่างยิ่ง
เพราะไม่ใช่ทุกวันที่เด็กๆ จะมีโอกาสได้รับการฝึกสอนจากอดีตนักเตะที่มีประสบการณ์เล่นฟุตบอลโลกร่วมกับนักเตะขวัญใจชาวไทยอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด แฟรงค์ แลมพาร์ด รวมถึง เวย์น รูนีย์ มาแล้ว
แต่สิ่งที่ได้มากกว่าประสบการณ์คือแรงบันดาลใจ เชื่อได้เลยว่าเยาวชนเหล่านี้ ถึงจะไม่ได้มีการฝึกสอนที่ต่อเนื่อง แต่ความสุข ความประทับใจ และความทรงจำดีๆ ต่อฟุตบอลจะทำให้พวกเขามีความรักที่จะเล่นฟุตบอล และอยากที่จะพัฒนาตัวเองต่อไปในอนาคต
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพนอกเหนือจากทักษะหรือร่างกาย คือทัศนคติ และทัศนคติสามารถส่งต่อถึงกันได้ ดั่งคำพูดที่ว่าผู้ฝึกสอนที่ดีหนึ่งคน สามารถสร้างผู้เล่นที่ดีได้อีกสิบๆ คน
ทัศนคตินั้นสำคัญไปจนถึงแฟนบอลด้วยเช่นกัน
โครงการนี้แม้จะไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่หากมองผ่านๆ แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ไม่เคยสร้างได้เพียงข้ามคืน แต่คือสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ประกอบกัน และเราควรให้โอกาสแบบนี้แก่เยาวชนของเราอย่างต่อเนื่อง หากหวังจะไปถึงระดับโลก
ถึงเวลาแล้วที่เราจะเชื่อมั่นในนักเตะไทยมากกว่าเดิม ร่วมกันพัฒนาวงการมากกว่าเดิม และตั้งเป้าหมายที่ไกลกว่าเดิม บางทีเป้าหมายแรกคือการมองไปถึงการแข่งขัน AFF Suzuki Cup 2018 ที่กำลังจะมาถึง และเป็นโจทย์ที่โค้ชมิโลวาน ราเยวัช จะแสดงฝีมือให้คนไทยได้เห็น
หรือบางทีเป้าหมายแรกคือการเลิกมองข้ามกันเอง และตั้งเป้าอย่างจริงจังว่าต้องได้เห็นสีเสื้อทีมชาติไทยในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายให้ได้ อย่างที่จีนหรือญี่ปุ่นเคยแสดงให้เห็นมาแล้ว
‘ความเชื่อ’ต้องมาก่อน ถัดไปคือความ ‘มุ่งมั่น’ ที่จะทำตามความเชื่อนั้น หากสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ไม่แน่ว่าครั้งต่อไปที่มีคำถามว่า เมื่อไรฟุตบอลไทยจะได้ไปบอลโลก
เราอาจจะเลิกมองมันเป็นแค่ ‘เรื่องขำๆ’ เสียที
อ้างอิง:
- www.thaileague.co.th/official
- www.fourfourtwo.com/th/features/mangkretibaihy-futblcchiinyuutrngcchudaihnaelw-n-tnnii
- www.goal.com/th/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/opinion-%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81/rbcl59ef1jdm1mcav7tswgdh6
- www.thairath.co.th/content/1297941
- เดวิด เจมส์ (David James) ติดทีมชาติอังกฤษชุดฟุตบอลโลกถึง 3 สมัย ได้แก่ ปี 2002 จัดที่เกาหลี/ญี่ปุ่น 2006 ที่เยอรมนี 2010 ที่แอฟริกาใต้
- ฟุตบอล AFF Suzuki Cup นั้นจะเริ่มแข่งขันรอบเพลย์ออฟในวันที่ 3-11 กันยายน และเริ่มการแข่งขันอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 พฤศจิกายน ถึง 15 ธันวาคม พ.ศ. 2561
- ไทยได้อยู่ในกลุ่ม B ซึ่งประกอบไปด้วยทีมชาติไทย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, บรูไน หรือ ติมอร์ เลสเต
- ปัจจุบันทีมชาติไทยเป็นทีมที่ชนะเลิศการแข่งขัน AFF Suzuku Cup มากที่สุด(5 สมัย) และเป็นแชมป์เก่าเมื่อปี 2016 จากการเอาชนะทีมชาติอินโดนีเซียด้วยสกอร์รวมสองนัด 3-2 (นัดแรก) อินโดนีเซีย 2-1 ไทย (นัดสอง) ไทย 2-0 อินโดนีเชีย