×

ครม. อนุมัติงบสำรองจ่ายทำระบบเฝ้าระวังแผ่นดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก รวมทั้งฟื้นฟูความเสียหายอุทกภัย

โดย THE STANDARD TEAM
08.04.2025
  • LOADING...
flood-landslide-monitoring

วันนี้ (8 เมษายน) อนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงินทั้งสิ้น  370,390,200 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการจัดทำระบบเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัยแผ่นดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ 

สาระสำคัญของโครงการ

 

– ติดตั้งเครื่องตรวจติดตามการเคลื่อนตัวของมวลหินพร้อมอุปกรณ์ 120 สถานี จำนวน 310,840,000  บาท

 

– จัดทำระบบสารสนเทศดิจิทัลธรณีพิบัติภัยแผ่นดินถล่ม จำนวน 40,351,000 บาท

 

– เสริมสร้างประสิทธิภาพในการเตรียมพร้อมรับมือธรณีพิบัติภัยแผ่นดินถล่มด้วยการสร้างภาคีเครือข่าย จำนวน 19,199,200 บาท

พื้นที่ดำเนินการ พื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ตาก แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง พังงา กระบี่ และภูเก็ต และพื้นที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินถล่มประเทศไทย มีระยะเวลาดำเนินการ มีแผนระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี เพื่อติดตั้งเครื่องตรวจติดตามการเคลื่อนตัวของมวลดิน ในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินถล่มระดับสูง – สูงมาก รายลุ่มน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพการเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าแผ่นดินถล่มและการอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งสามารถสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายและการบริหารจัดการความเสี่ยงจากธรณีพิบัติภัยได้อย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ สามารถลดความสูญเสียจากธรณีพิบัติ

 

อนุมัติงบกลางสำรองจ่ายฟื้นฟูความเสียหายอุทกภัย 1,182.3 ล้านบาท

 

อนุกูล เปิดเผยว่า ครม. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (งบกลาง ปี 2568) เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ บริหารจัดการน้ำและฟื้นฟูโครงการที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย (โครงการฯ) จำนวน 554 รายการ วงเงิน 1,182,396,800 บาท ตามที่ กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ

เพื่อซ่อมแซมอาคารและสิ่งปลูกสร้างทางชลประทานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่เกิดขึ้นช่วงปลายปี 67 ซึ่งส่งผลทำให้การบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรและกิจกรรมอื่น ๆ ไม่มีประสิทธิภาพ และอันตรายที่อาจจะเกิดกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ประชาชนทั่วไปจากการใช้งานอาคารและสิ่งปลูกสร้างทางชลประทานดังกล่าว 

รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำซ่อมแซม/ปรับปรุงอาคารและระบบชลประทานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย และการใช้งานให้กลับคืนสู่สภาพเดิมหรือมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี ครอบคลุมใน 12 จังหวัด ดังนี้

 

  1. จังหวัดชุมพร จำนวน 17 โครงการ งบประมาณ 130,020,000 บาท
  2. จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 37 โครงการ งบประมาณ 19,763,800 บาท
  3. จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 197 โครงการ งบประมาณ 219,516,000 บาท
  4. จังหวัดตรัง จำนวน 6 โครงการ งบประมาณ 4,850,000 บาท
  5. จังหวัดสงขลา จำนวน 98 โครงการ งบประมาณ 308,340,000 บาท
  6. จังหวัดพัทลุง จำนวน 58 โครงการ งบประมาณ 38,812,000 บาท
  7. จังหวัดนราธิวาส จำนวน 63 โครงการ งบประมาณ 184,064,000 บาท
  8. จังหวัดปัตตานี จำนวน 33 โครงการ งบประมาณ 97,051,000 บาท
  9. จังหวัดยะลา จำนวน 2 โครงการ งบประมาณ 20,900,000 บาท
  10. จังหวัดระนอง จำนวน 1 โครงการ งบประมาณ 37,000,000 บาท
  11. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 41 โครงการ งบประมาณ 67,080,000 บาท
  12. จังหวัดสตูล จำนวน 1 โครงการ งบประมาณ 55,000,000 บาท

 

รวมทั้งสิ้นจำนวน 554 โครงการ งบประมาณ 1,182,396,800 บาท

 

ขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พื้นที่ 3 จชด.ตั้งแต่ 20 เม.ย.- 19 ก.ค.68 

 

อนุกูลเปิดเผยว่า ครม. มีมติเห็นชอบตามที่ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ ให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ ดังนี้

 

– จังหวัดนราธิวาส ยกเว้นอำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน 

 

– จังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอยะหริ่ง อำเภอปะนาเระ อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น อำเภอทุ่งยางแดง อำเภอกะพ้อ และอำเภอแม่ลาน 

 

– จังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง อำเภอยะหา อำเภอรามัน อำเภอกาบัง และอำเภอกรงปินัง 

 

ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นการขยายระยะเวลาครั้งที่ 80 

 

ครม. รับทราบข้อเสนอการแต่งกายของผู้ต้องขังที่มีความหลากหลายทางเพศ 

 

อนุกูลกล่าวว่า ครม. รับทราบข้อเสนอแนะกรณีการแต่งกายของผู้ต้องขังที่มีความหลากหลายทางเพศตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณา ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

อนุชากล่าวอีกว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีผู้ต้องขังที่มีความหลากหลายทางเพศถูกบังคับให้สวมกางเกง ไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งกายตามเพศสภาพและใส่เสื้อชั้นในเพื่อปกปิดอวัยวะสำคัญทั้งที่ทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกแล้วเป็นเหตุให้ถูกคุกคามหรือก่อความเดือดร้อนรำคาญทางเพศ

 

มีข้อเสนอแนะให้มีการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับแนวคิดเพศวิถีแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติเร่งผลักดันนโยบายการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีให้แตกต่างจากนักโทษเด็ดขาดและให้ผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีมีสิทธิและเสรีภาพที่จะพิจารณาความเหมาะสมของการแต่งกายเองได้ และแก้ไขปรับปรุงระเบียบกรมราชทัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องแต่งกายสำหรับผู้ต้องขังและการดำเนินการเกี่ยวกับการอนามัยและการสุขาภิบาลของผู้ต้องขัง ให้คำนึงถึงการรับรองสิทธิในการแต่งกายตามเพศสภาพมากขึ้น เพื่อให้เรือนจำทั่วประเทศ มีแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising