×

5 เหตุผลที่ควรจะกดรีโมตเปิดดูคู่ชิงที่ 3 เบลเยียม-อังกฤษ

14.07.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • แฮร์รี เคน ศูนย์หน้ากัปตันทีมชาติอังกฤษ ทำไปแล้ว 6 ประตู​ ส่วน โรเมลู ลูกากู หัวหอกมฤตยูดำของเบลเยียม ตามหลังมาด้วยจำนวน 4 ประตู ทั้งคู่มีลุ้นชิงรองเท้าทองคำกัน (ถ้าคนหลังได้ลงสนาม)
  • อังกฤษและเบลเยียมเคยเล่นนัดชิงที่ 3 กันมาแล้วทั้งคู่ แต่ไม่เคยได้ที่ 3 เลยสักทีม
  • ถึงจะเป็นตัวสำรอง ระดับฝีเท้าของนักเตะเหล่านี้ก็ไม่ใช่ไก่กา ไล่ชื่อแล้วระดับสตาร์ทั้งนั้น เช่น มาร์คัส แรชฟอร์ด, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ยูริ ติเลอม็องส์, ดรีส์ เมอร์เทนส์
  • สุดท้ายถึงฝันจะไม่เป็นจริง อกหักกันเรียบทั้งเบลเยียมและอังกฤษ แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ตั้งใจที่จะปิดฉากฟุตบอลโลก 2018 ของพวกเขาอย่างสวยงามที่สุด

หลายคนบอกว่ามันเป็นเกมที่ไม่ควรเกิด หลายคนมองว่ามันเป็นเกมที่ไร้ความหมาย และหลายคนมองข้ามมันไปเพราะมันเป็นแค่เกมนัดชิงที่ 3

 

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะไม่ใช่เฉพาะแฟนฟุตบอลเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ หากแต่นักฟุตบอลเองจำนวนไม่น้อยก็คิดว่าการต้องลงสนามในสภาพที่บอบช้ำกันมาอย่างหนักโดยเฉพาะทางจิตใจ สำหรับทีมที่ฝันสลายอดเข้าชิงชนะเลิศนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าพิสมัยเลยแม้แต่น้อย

 

แค่คิดก็ไม่อยากขยับเขยื้อนตัวแล้ว

 

แต่ไม่เอาน่า! เพราะนี่คือฟุตบอลโลก เกมทุกนัดย่อมมีคุณค่าและความหมายให้ค้นหาเสมอ เหมือนทุกเรื่องในชีวิตที่มีคุณค่าและความหมาย อยู่ที่เราจะเลือกมองมันในมุมไหน

 

และนี่คือมุมที่เราคิดว่าน่าจะเป็นเหตุผลที่ดีที่จะทำให้คุณยอมกดรีโมต (แบบเซ็งๆ) เพื่อเปิดทีวีดูคู่ชิงที่ 3 ของศึกฟุตบอลโลก 2018 ระหว่างเบลเยียมและอังกฤษในคืนนี้

 

ลูกากู vs เคน กับศึกรองเท้าทองคำ

ตัดเรื่องลูกฟุตบอลทองคำ หรือ Golden Ball ออกไปก่อน เพราะไม่มีใครเขาให้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งทัวร์นาเมนต์กับทีมที่เข้าชิงที่ 3 แน่

 

แต่ถ้ารางวัลรองเท้าทองคำ หรือ Golden Boot นั้น ทั้งเบลเยียมและอังกฤษยังถือว่ามีสิทธิ์ลุ้นกันอยู่เต็มๆ ทั้ง 2 ทีม เพราะผู้นำในอันดับดาวซัลโวของฟุตบอลโลกปีนี้คือ แฮร์รี เคน ศูนย์หน้ากัปตันทีมชาติอังกฤษที่ทำไว้ 6 ประตู เป็นผู้นำในเวลานี้ และ โรเมลู ลูกากู หัวหอกมฤตยูดำของเบลเยียม ที่ตามหลังมาด้วยจำนวน 4 ประตู

 

รองลงไปคือ อองตวน กรีซมันน์ และ คีเลียน เอ็มบัปเป้ ที่ทำคนละ 3 ประตู ถึงจะมีโอกาสเป็นไปได้ในทางทฤษฎีที่ทั้งคู่จะทำแฮตทริกในเกมรอบชิงชนะเลิศกับโครเอเชีย แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากมากๆ ดังนั้นโอกาสลุ้นดาวซัลโวจึงเป็นเรื่องระหว่าง เคนกับลูกากูเท่านั้น

 

ขอแค่ให้ได้เห็นทั้งสองคนนี้ได้โอกาสลงสนาม อย่างน้อยเราก็มีหนึ่งเรื่องให้ได้ลุ้นกันแล้ว

 

ไม่เคยได้ที่ 3

ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นที่ 3 แต่ถ้ามันเป็นที่ 3 ของฟุตบอลโลก ตำแหน่งที่ไม่เคยได้มาก่อน บางทีมันก็เป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูลอยู่เหมือนกัน และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เบลเยียมและอังกฤษน่าจะยังต้องเต็มที่กับมันอยู่

 

สำหรับเบลเยียม ‘ปีศาจแดงแห่งยุโรป’ เคยผ่านมาถึงรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลกปี 1986 ที่เม็กซิโก ก่อนจะไปพ่ายต่ออาร์เจนตินา เพราะไม่สามารถหยุด ดิเอโก มาราโดนา เทพเจ้าลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์ได้ แต่ในรอบชิงที่ 3 พวกเขาก็พ่ายให้กับฝรั่งเศสในช่วงของการต่อเวลาพิเศษไป 2-4

 

ส่วนอังกฤษเคยเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1966 แต่หลังจากนั้นผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาคือการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 1990 ที่ประเทศอิตาลี และไปแพ้ เยอรมนีตะวันตกในการดวลจุดโทษแบบสุดชอกช้ำระกำทรวง หลังจากนั้นพวกเขาไปเจอกับเจ้าภาพอิตาลี แต่ก็แพ้ไป 2-1

 

ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะคว้าที่ 3 ของศึกฟุตบอลโลกเป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับมาให้แฟนๆ ในบ้านเกิด

 

 

แข้งสำรองคะนองศึก

ตามธรรมเนียมปฏิบัติของเกมนัดชิงที่ 3 ที่ไม่รู้ใครกำหนด เราจะได้เห็นนักเตะตัวสำรองของแต่ละทีมลงสนามกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

 

เหตุผลหลักๆ คือในเมื่อทีมไม่ได้มีลุ้นอะไรจริงจัง บวกกับการที่ผู้เล่นตัวจริงกรำศึกมาอย่างหนักตลอดทั้งรายการแล้ว จึงควรเป็นโอกาสของเหล่าตัวสำรองที่จะได้ลงมาโชว์ฟอร์มยืดเส้นยืดสายกันบ้าง

 

บางครั้งโหดหน่อยเราก็อาจจะเห็นการเปลี่ยนยกชุดกันไปเลย แต่หลายครั้งก็อาจจะมีผู้เล่นระดับแกนหลักเอาไว้สักหน่อย แล้วที่เหลือก็เป็นตัวสำรองลงมาวาดลวดลายให้ได้ขึ้นชื่อว่าได้เล่นในฟุตบอลโลกแล้วนะ ทางบ้านจะได้ดีใจ

 

แต่ถึงจะเป็นตัวสำรอง ระดับฝีเท้าของนักเตะเหล่านี้ก็ไม่ใช่ไก่กา ระดับถูกเรียกตัวติดทีมชาติมาฟุตบอลโลกแล้วถือเป็นของขึ้นห้างทั้งนั้น ไม่เชื่อลองไล่เลียงรายชื่อของนักเตะสำรองของทั้งสองทีมดู

 

อังกฤษมี มาร์คัส แรชฟอร์ด, เดนนี เวลเบ็ก, เจมี วาร์ดี, รูเบน ลอฟตัส-ชีก, เอริค ไดเออร์, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาเบียน เดลฟ์, แกรี เคฮิลล์, ฟิล โจนส์, แดนนี โรส, แจ็ค บัตแลนด์

 

ฝั่งเบลเยียมมี มิชี บาตชูอายี, ดรีส์ เมอร์เทนส์, อัดนัน ยานูไซ, ยูริ ติเลอม็องส์, ธอร์แกน อาซาร์ (น้องชายเอเดน อาซาร์!), ยานนิก การ์ราสโก, ดีเร็ค โบยาตา, โธมัส มูนิเยร์ รวมถึงประตูอย่าง ซิมง มิโญเลต์

 

ที่สำคัญด้วยความที่ไม่ค่อยได้โอกาสลงสนาม เมื่อได้โอกาสแล้วรับรองวิ่งกันลืมตายแน่นอน

 

ย้ำแค้นหรือล้างแค้น?

พูดถึงก็น่าเสียดายอยู่หน่อยๆ ที่เกมระหว่างเบลเยียมและอังกฤษ ซึ่งได้โคจรกลับมาเจอกันเป็นคำรบที่ 2 ในฟุตบอลโลกหนนี้ต้องพบกันในเกมที่เหมือนจะไม่มีความหมายทั้งสองนัด

 

ในรอบแบ่งกลุ่มเองก็เล่นกันด้วยความระแวดระวัง เพราะการได้แชมป์กลุ่มนั้นเหมือนกับการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสายที่ลำบากอย่างสายบน เกมในสนามจึงมีอารมณ์กั๊กๆ บ้าง ไม่เต็มที่ แถมเปลี่ยนผู้เล่นรวมกันมากถึง 17 ตำแหน่ง

 

มาถึงเกมนัดชิงที่ 3 อารมณ์ก็คล้ายกันอีกแล้ว ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นเกมเดือดที่ใส่กันเต็มระหว่างชาติเล็กๆ แต่กำลังยิ่งใหญ่ในทางเกมลูกหนัง กับชาติต้นกำเนิดของเกมฟุตบอลที่มีศักดิ์ศรีค้ำคอ ทำให้ไม่สามารถจะก้มหัวยอมแพ้ได้ง่ายๆ และต่างก็เป็นชาติที่มีนักเตะแห่งอนาคตมากมาย

 

แต่ด้วยความที่อังกฤษแพ้เบลเยียมมาแล้วในการพบกันครั้งแรกในเกมที่คาลินินกราด ตรงนี้ก็อาจเป็น ‘ชนวน’ ให้พวกเขาไม่อยากยอมแพ้ซ้ำสอง

 

บางทีน่าจะมีอารมณ์อยากล้างแค้นอยู่ลึกๆ ด้วยซ้ำไป!

 

ขณะที่เบลเยียมที่ผิดหวังสุดๆ เพราะฟุตบอลโลกครั้งนี้พวกเขาคาดหวังเยอะมาก ก็อาจจะต้องการใช้อังกฤษเป็นที่ระบายความเครียดเหมือนกัน

 

 

อยากปิดฉากให้สวยงาม

สุดท้ายถึงฝันจะไม่เป็นจริง อกหักกันเรียบทั้งเบลเยียมและอังกฤษ แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ตั้งใจที่จะปิดฉากฟุตบอลโลก 2018 ของพวกเขาอย่างสวยงามที่สุด

 

แกเร็ธ เซาท์เกต นายใหญ่สิงโตคำราม (ผู้ที่ทำให้เสื้อกั๊กในร้าน Marks & Spencer ในแบบที่เขาใส่ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ขายดีขึ้นถึง 35%!) บอกก่อนเกมว่า “เราอยากจะปิดฉากทัวร์นาเมนต์ให้สวยงาม เราได้ตั้งค่ามาตรฐานในวิธีการทำงานและวิธีการเล่นของเราไว้แล้ว เรามีความมุ่งมั่นสูงที่จะทำผลงานที่ดี เรามีโอกาสที่จะได้เหรียญจากการแข่งฟุตบอลโลก ซึ่งเคยมีทีมอังกฤษแค่ชุดเดียวที่ทำได้”

 

ส่วน โรแบร์โต มาร์ติเนซ ที่ยอมรับว่าลูกทีมหัวใจสลายกันมาก แต่เมื่อถึงเวลาลงสนามในเกมนี้ พวกเขาจะกลับมาเต็มที่เหมือนเดิม “เมื่อฝุ่นจางลง เราจะเห็นว่าเกมนัดนี้สำคัญ สำหรับชาติที่ให้ความสำคัญกับเกมฟุตบอล พวกเขาต้องการประสบความสำเร็จเสมอ และพวกเขาอยากจะเป็นทีมเบลเยียมที่ดีที่สุดตลอดกาลด้วย และทุกคนพร้อมที่จะทำหน้าที่”

 

ฟังแบบนี้ก็พอจะมีความรู้สึกว่าเกมนี้ไม่น่าจะกร่อยอย่างที่คิด ในทางตรงกันข้ามอาจจะมันระเบิดกว่านัดชิงชนะเลิศก็เป็นได้ เพราะตามสถิติแล้วส่วนมากนัดชิงที่ 3 จะเป็นเกมที่ยิงกันเยอะมาก ยกตัวอย่างย้อนหลังไปในปี 2014 บราซิลแพ้เนเธอร์แลนด์ 0-3, ในปี 2010 อุรุกวัยแพ้เยอรมนี 2-3, ในปี 2006 เยอรมนีชนะโปรตุเกส 3-1, ในปี 2002 เกาหลีใต้แพ้ตุรกี 2-3

 

จากที่บอกมาทั้งหมด พอจะกดรีโมตเปิดดูเกมนัดนี้ได้หรือยัง 🙂

 

Photo: Reuters

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising