เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกาศกร้าวแสดงความตั้งใจอย่างชัดเจนและแน่วแน่ว่า จะไม่ลังเลที่จะเดินหน้าใช้นโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลง
พาวเวลล์กล่าวอีกว่า แม้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้นจะเกินไปจากระดับความเข้าใจในวงกว้าง แต่ Fed ก็ไม่ลังเลที่จะทำหากว่าสามารถลดระดับเงินเฟ้อได้ และ Fed จะเดินหน้าต่อไป จนกระทั่งอยู่ในจุดที่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า สถานภาพทางการเงินของสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งหมายรวมถึงเห็นตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลง
ความเห็นของพาวเวลล์ครั้งนี้มีขึ้นระหว่างที่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์กับทาง The Wall Street Journal ผ่านไลฟ์สตรีม และมีขึ้นหลังจากที่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทาง Fed ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% นับเป็นการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ในปี 2022 นี้ ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี
ทั้งนี้ พาวเวลล์เผยว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นอีกในการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายทางการเงิน (FOMC) ของ Fed ที่เหลืออยู่อีกหลายครั้งในปีนี้ ตราบใดที่สภาพเศรษฐกิจยังคงใกล้เคียงกับที่ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ประธาน Fed ยังใช้โอกาสนี้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจัดการปรับลดอัตราเงินเฟ้อให้แตะระดับเป้าหมายที่ 2% อีกครั้ง แต่ก็ยอมรับว่าการดำเนินการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตั้งใจไว้ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจส่งผลกระทบทำให้อัตราว่างงานเพิ่มขึ้น 3.6% ซึ่งอยู่เหนือระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรศที่ 1960
ในมุมมองของสหรัฐฯ ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง แม้จะมีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และมีเส้นทางที่เป็นไปได้มากมายที่จะทำให้เกิด Soft Landing ดังนั้น งานของ Fed คือการพยายามสร้างโอกาสให้ทุกๆ ความเป็นไปได้เหล่านั้นเพื่อบรรลุเป้าหมาย
ความเห็นครั้งนี้มีขึ้นหลังมีรายงานว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาแรกของปีนี้หดตัวลงมาอยู่ที่ -1.4% โดยมีสาเหตุหลักๆ มาจากปัญหาติดขัดในห่วงโซ่อุปทาน, การแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน และสงครามความขัดแย้งรุนแรงระหว่างรัสเซียกับยูเครน
ทั้งนี้ ในท้ายที่สุดแล้ว พาวเวลล์ยังได้แสดงความหวังว่า Fed จะสามารถบรรลุเงินเฟ้อเป้าหมายโดยไม่ต้องแลกกับการชะลอตัวและความโกลาหลทางเศรษฐกิจ แต่ก็เข้าใจดีว่าการฟื้นฟูเสถียรภาพทางการเงินครั้งนี้จำเป็นต้องแลกกับความเจ็บปวดที่ได้รับ
ในส่วนของความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท สหรัฐฯ เมื่อวานนี้ปิดตลาดฟื้นตัวกลับมาในแดนบวกอีกครั้ง หล้งจากร่วงระนาวต่อเนื่องหลายสัปดาห์ติดต่อกัน โดยได้อานิสงส์จากการที่มหาอำนาจเบอร์ 2 ทางเศรษฐกิจของโลกอย่างจีน ประกาศผ่อนปรนการดำเนินการจัดระเบียบบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ตามนโยบาย Zero-COVID
ทั้งนี้ ดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones ปรับตัวเพิ่มขึ้น 431.17 จุด หรือ 1.34% ปิดที่ 32,654.59 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ขยับเพิ่มขึ้น 80.84 จุด หรือ 2.02% ปิดที่ 4,088.85 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 321.73 จุด หรือ 2.76 % ปิดที่ 11,984.52 จุด
โดยนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ดัชนี Dow Jones ลดลงแล้ว 10.1% ดัชนี S&P 500 14.2%
การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีทั้ง 3 ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ พบว่ายอดค้าปลีกในเดือนเมษายนปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.9% ขณะที่ในช่วงเดือนมีนาคมก่อนหน้า ทางกระทวงมีการปรับตัวเลขเติบโตจากเดิม 0.7% มาอยู่ที่ 1.4% ตามที่ได้ระบุไว้ในรายงานฉบับก่อนหน้า
การฟื้นตัวของตลาดค้าปลีก ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน สะท้อนให้เห็นได้ว่าบรรดาผู้บริโภคชาวอเมริกันทั้งหลายต่างพยายามยืนหยัดเผชิญหน้ากับภาวะเงินเฟ้อสูงในปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน หุ้นที่มีการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดเจนคือหุ้นในกลุ่มการท่องเที่ยวและการเดินทาง โดยราคาหุ้นของ United Airlines เพิ่มขึ้นเกือบ 7.9% หุ้นของ Delta เพิ่มขึ้น 6.7% และหุ้นของ American Airlines เพิ่มขึ้น 7.7%
นอกจากนี้ หุ้นของ Citigroup และ Paramount Global ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย Citigroup เพิ่มขึ้นราว 7.6% และ Paramount Global เพิ่มขึ้นเกือบ 15.4% โดยเป็นผลจากการที่ Berkshire Hathaway บริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ประกาศทุ่มเงินร่วมลงทุนแล้วกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการซื้อหุ้นของทั้งสองบริษัท
ในส่วนของราคาน้ำมันเเมื่อวานนี้ (17 พฤษภาคม) ปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 1.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 112.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านนำ้มันดิบเบรนต์ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม ลดลง 2.31 ดอลลาร์ ปิดที่ 111.93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันที่ลดลงนี้ได้รับแรงหนุนหลักๆ มาจากการที่ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ของเวเนซุเอลา หนึ่งในประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ประกาศหวนคืนสู่เวทีเจรจา ทำให้สหรัฐฯ เตรียนมผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรบางอย่างเพื่อช่วยให้การเจรจาราบรื่น
ขณะที่ราคาทองคำกลับมาปิดตลาดในแดนบวก ส่งสัญญาณฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 4.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,818.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 2.9% ท่ามกลางความพยายามประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันของบรรดานักลงทุน บวกกับยอดค้าปลีกที่ดีเกินคาด
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2022/05/17/powell-says-the-fed-will-not-hesitate-to-keep-raising-rates-until-inflation-comes-down.html
- https://www.cnbc.com/2022/05/16/stock-market-futures-open-to-close-news.html
- https://www.cnbc.com/2022/05/17/us-bonds-10-year-treasury-yield-amid-economic-data-fed-speeches.html