×

ฟัลเกา จากผู้ล้มเหลวในสนามฟุตบอล สู่เปเลแห่งวงการฟุตซอล

26.10.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • ฟัลเกา ตำนานแห่งวงการฟุตซอลประกาศเตรียมลงสนามครั้งสุดท้ายในวันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคมนี้ ปิดฉากการค้าแข้งตลอด 20 ปีในวัย 42 ปี
  • ฟัลเกาคว้าแชมป์โลก 2 สมัย และได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลก 4 สมัย แต่สิ่งที่ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบไปทั่วโลก คือพรสวรรค์และสไตล์การเล่นที่มักจะมีทริกซ์ หรือการเลี้ยงแบบที่คาดไม่ถึงให้แฟนได้เห็นในสนามเสมอ
  • ฟัลเกา เหมือนกับนักเตะบราซิเลียนหลายคนที่มีความฝันเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เขาได้ทดลองมันกับสโมสรเซา เปาโล ในปี 2005 ซึ่งแม้ว่าจะล้มเหลว แต่สุดท้ายเขาก็สามารถกลับมาสร้างความยิ่งใหญ่ในสนามฟุตซอลจนได้รับฉายาว่า เปเล แห่งวงการฟุตซอลมาจนถึงทุกวันนี้

ตำนานเทพเจ้าราชันแห่งวงการฟุตซอล คือชื่อที่คุณจะได้พบเจอผูกติดอยู่กับชายที่มีชื่อว่า อเลสซานโดร โรซา วิเอรา หรือ ฟัลเกา ซึ่งเขาได้ประกาศเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่าน ว่าถึงเวลาแล้วที่เขาลงสนามฟุตซอลเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะนักเตะอาชีพให้กับทีมชาติบราซิลในวัย 41 ปี หลังจากการรับใช้ชาติกว่า 250 นัดตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

 

“ทุกอย่างที่ผ่านมามันได้จบลงแล้ว วันที่ผมไม่ต้องการให้มาถึง วันที่ผมต้องบอกลา ในวันอาทิตย์นี้จะเป็นเกมสุดท้ายที่ผมจะเล่นฟุตซอลในเกมที่บราซิลพบกับ ปารากวัย

 

 

“ผมจะร้องเพลงชาติเป็นครั้งที่ 258 และผมจะพยายามยิงประตูที่ 400 ให้กับทีมชาติให้ได้ ผมจบมันลงด้วยความพยายามที่จะทำผลงานให้ดีที่สุดตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

 

“ผมมีความสุขกับทุกชัยชนะ ผมร้องไห้ และเสียใจกับทุกความพ่ายแพ้ แต่ผมรู้ว่าผมทำดีที่สุดแล้ว และสิ่งที่ดีที่สุดคือการได้ทำมันร่วมกับทั้งบราซิล

 

“วันอาทิตย์คุณจะตื่นขึ้นมาดูผม #Falcao12 ในวันที่ผมกำลังจะพบเจอกับเส้นทางใหม่ในชีวิต”

 

โดยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ฟัลเกาได้มีโอกาสเดินทางมาคว้าแชมป์สโมสรโลกให้กับทีมแมกนัส ฟุตซอล คลับ พร้อมกับการลงโชว์ฝีเท้าใจกลางเมืองกรุงเทพฯ กับกิจกรรมลาลีกา อิน ไทยแลนด์ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมอีกด้วย

 

 

ซึ่งในวันนั้นที่ THE STANDARD ได้มีโอกาสสัมผัสฝีเท้าของราชันฟุตซอลอย่างใกล้ชิดที่โครงการสเตเดียมวัน ต้องยอมรับว่า แม้ตัวของเขาเองหน้าตาจะดูเป็นคนจริงจัง แต่ตรงกันข้าม ฝีเท้าของเขาต่างสร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสุขให้กับทั้งเยาวชน แฟนกีฬาฟุตซอล และผู้สื่อข่าวหลายชีวิตที่ได้มีโอกาสสัมผัสความสามารถเขาอย่างใกล้ชิดในวันนั้น

 

ซึ่งก่อนที่เขาจะลงวาดลวดลายในสนาม และสร้างความสุขให้กับผู้ชมเป็นครั้งสุดท้าย THE STANDARD จะพาไปย้อนดูประวัติของชายผู้ที่ถูกยกย่องให้เป็นเปเล แห่งวงการฟุตซอลกัน

 

 

ฟัลเกา ถือเป็นนักฟุตซอลระดับตำนานไม่ใช่เพียงสำหรับประเทศบราซิล แต่ใครก็ตามที่ชื่นชอบพรสวรรค์ และการเล่นสไตล์บราซิเลียนที่มีทั้งความสวยงาม และคาดเดาได้ยาก ต่างก็ต้องหลงรักกับฝีเท้าของชายคนนี้

 

ฟัลเกา กอบโกยความสำเร็จในนามทีมชาติบราซิลและสโมสร ทั้งการคว้าแชมป์ฟุตซอลโลกติดกัน 2 สมัยในปี 2008 ที่บ้านเกิดและ 2012 ที่ประเทศไทย รองแชมป์โลกในปี 2000 รวมถึงได้รับการยอมรับว่าเป็นนักกีฬาฟุตซอลอันดับหนึ่งของโลกในปี 2004, 2006, 2011 และ 2012 และปัจจุบันยังคงเป็นนักเตะที่ยิงประตูให้กับฟุตซอลทีมชาติบราซิลมากที่สุดตลอดกาล จนเป็นที่มาของฉายาเปเลแห่งวงการ

 

“ผมเป็นเพียงแค่คนเดาะบอลที่ไม่สามารถยิงประตูได้ แต่ตอนนี้ผมเรียนรู้ที่จะใช้ทักษะที่ผมมียิงประตูและช่วยทีมได้ นั่นคือวันที่ทำให้การเลี้ยงบอลของผมมีความหมาย” ฟัลเกา ให้สัมภาษณ์ถึงการก้าวข้ามจากผู้ที่ชื่นชอบการเลี้ยงหลบคู่แข่ง จนกลายมาเป็นอาชีพนักฟุตซอล ในสารคดี Ginga – The Soul of Brazilian Football ถึงการเล่นฟุตซอลของเขา

 

“ผมเคยเลี้ยงบอลเพื่อทำให้คู่แข่งของผมเกรงกลัว แต่ตอนนี้ผมเลี้ยงบอลเพื่อยิงประตู และผมสามารถยิงประตูได้มากขึ้นจากท่าต่างๆ ของผม

 

“จากสไตล์ของผม ทำให้เด็กๆ มองผมเป็นต้นแบบ และบอกว่าเรากำลังพยายามทำเหมือนคุณ และมันเจ๋งมาก เด็กทั่วบราซิลขอให้ผมทำ ฟัลเกา ดริบเบิล ให้ดู พวกเขาใส่ชื่อผมเข้าไปในวิธีการเลี้ยงบอลแล้ว!

 

“ผมเคยเล่นข้างถนน ในโรงเรียน แต่ไม่เคยคิดว่าจะลองเล่นให้กับทีม จนกระทั่งเพื่อนชวนผมไปลองทดสอบฝีเท้ากับทีมฟุตซอล 4 เดือนต่อมาผมก็กลายเป็นกัปตันทีม”

 

แต่สิ่งหนึ่งที่เขาปฏิเสธมาตลอดก่อนปี 2004 คือสิ่งที่หลายคนต้องการเห็น คือการลงเล่นฟุตบอลอาชีพ เหมือนกับนักฟุตบอลบราซิลคนอื่นๆ

 

“ผมวิ่งหนีฟุตบอลมาตลอด เพราะสิ่งที่ผมชื่นชอบคือฟุตซอล

 

“มันเป็นพรสวรรค์ และผมชื่นชอบการควบคุมลูกบอลในระหว่างเกม ในฟุตซอลคุณอยู่กับลูกบอลตลอดเวลา แต่ฟุตบอลคุณจะไม่ได้สัมผัสบอลบางครั้งนานถึง 10 นาที และนั่นเป็นสิ่งที่ทรมานมากสำหรับผม’

 

แต่สำหรับพัฒนาการของนักกีฬาในบราซิล สเปน หรือโปรตุเกส ส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่การเริ่มต้นจากฟุตซอลในวัยเด็ก ก่อนจะเติบใหญ่สู่ฟุตบอลในช่วงวัยรุ่นเพื่อต่อยอดสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เหมือนกับนักเตะอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด, เนย์มาร์, โรนัลดินโญ และโรบินโญ ที่เชื่อว่าฟุตซอลมีส่วนสำคัญในการช่วยพวกเขาพัฒนาฝีเท้าในวัยเด็ก

 

วันที่ฟัลเกาก้าวลงสู่สนามฟุตบอล

 

 

ด้วยฝีเท้าที่ยากจะหาคนเทียบได้ในวงการฟุตซอล ทำให้หลายคนคงตั้งคำถามว่า ฟัลเกาสามารถแสดงฝีเท้าในสนามหญ้าจริงระดับ 11 คนได้หรือไม่ โดยแหล่งอ้างอิงบางที่ก็ได้เผยว่าการเป็นนักฟุตบอลคือความฝันที่แท้จริงของฟัลเกา

 

ซึ่งคำถามนี้ได้รับคำตอบเมื่อปี 2004 ฟัลเกากลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติบราซิล โดยสิ้นปีนั้นเขาได้รับตำแหน่งนักฟุตซอลยอดเยี่ยมของโลกเป็นครั้งแรก ความท้าทายใหม่ของเขา เริ่มขึ้นเมื่อพี่ชายของเขา ระหว่างที่พี่ชายของเขากำลังติดตั้งแอร์ให้ มาร์เซโล โปรตุกัล โกเวีย (Marcelo Portugal Gouvea) ประธานสโมสร เซาเปาโล

 

ทั้งคู่พูดคุยกันเป็นเวลานานก่อนที่หัวข้อของฟัลเกาจะเข้ามาร่วมในบทสนทนา ซึ่งในช่วงนั้นกำลังทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมกับทีมชาติบราซิล จนกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศบราซิล

 

จนสุดท้าย มาร์เซโลตัดสินใจชวนฟัลเกามาเซ็นสัญญาพร้อมกับความรู้สึกว่าเป็นข้อเสนอที่เขาปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ฟัลเกาได้รับโอกาสก้าวเข้าสู่สนามฟุตบอลในช่วงอาย 26 ปี

 

ฟัลเกา คุณรับมือแรงกดดันไหวไหมในฐานะนักฟุตซอลที่ดีที่สุดในโลก และวันนี้คุณจะทำผลงานได้ดีไหมในสนามใหญ่

 

“แน่นอนผมรับมือได้” ฟัลเกา ตอบรับคำท้าของผู้สื่อข่าวที่สื่อผ่านคำถามในใจของแฟนบอลหลายคนในเวลานั้นที่กำลังจะได้โอกาสเห็นฟัลเกา ราชันฟุตซอลก้าวลงสู่สนามฟุตบอล

 

“ผมหลีกเลี่ยงฟุตบอลมาตลอด แต่นี่เป็นโอกาสที่แตกต่างจากเดิม ผมได้รับรางวัลนักฟุตซอลยอดเยี่ยมของโลก ดังนั้นผมจึงมีค่ามากขึ้น และสโมสรเซาเปาโล มองเห็นคุณค่านั้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่มาจากฟุตซอล

 

“และตอนนี้อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

 

“โรนัลดินโญ โรบินโญ พวกเขาเล่นแบบมีสไตล์ ผมเองก็เช่นกัน และนั่นคือสิ่งที่ผมเรียนรู้ว่า พวกเขาตัดสินใจจ้างผมเพราะผมมีสไตล์”

 

6 เดือนคือระยะเวลาในสัญญาที่ฟัลเกา ได้รับโอกาสพิสูจน์ฝีเท้าตัวเองในสนามใหญ่ ซึ่งดีลครั้งนี้ได้สร้างเสียงฮือฮาไปทั่วประเทศ ทั้งแฟนบอลทีมชาติบราซิล และ แฟนคลับของสโมสร

 

แต่สำหรับ เอ็มเมอร์สัน ลีโอน (Emerson Leao) ผู้จัดการทีมในเวลานั้น กลับไม่ประทับใจกับตัวฟัลเกา เนื่องจากฟัลเกาไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้กับการทดสอบฝีเท้าก่อนหน้านี้กับสโมสรอื่น รวมถึงประธานสโมรเองก็เผยกับเขาว่าการตัดสินใจเซ็นฟัลเกาเป็นจุดประสงค์ทางการตลาด

 

 

แต่สุดท้ายเขาก็ได้รับโอกาสลงสนามเกมแรกเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2005 ซึ่งเสียงเชียร์ในวันนั้นดังขึ้นเมื่อฟัลเกาลุกขึ้นจากเก้าอี้สำรองเตรียมที่จะลงสนามในช่วงท้ายของครึ่งหลัง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าแฟนๆ กีฬาต่างก็เฝ้าคอยดูบทพิสูจน์ว่าที่สุดของวงการฟุตซอลจะสามารถแจ้งเกิดในเกมแรกกับฟุตบอลได้หรือไม่

 

เขาลงสนามในตำแหน่งปีกพร้อมกับภารกิจที่เขาคุ้นเคย คือการเลี้ยงบอลและ สร้างความอับอายให้กับคู่ต่อสู้ของเขาเหมือนที่เขาทำในสนามฟุตซอล เกมนั้นเซาเปาโลเอาชนะไปได้ 4-2 โดยฟัลเกาได้โอกาสยิงเพียงหนึ่งครั้ง แต่ไม่เป็นประตูก่อนจะเดินออกจากสนามพร้อมกับเสียงปรบมือจากแฟนบอลในสนาม

 

เกมต่อมากับทีมอเมริกา ลีโอนตัดสินใจยอมทำตามเสียงเรียกร้องของแฟนบอลในสนาม หลังจากที่ทีมขึ้นนำ 2-0 เขาก็ตัดสินใจส่งฟัลเกาลงสนาม สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับเกมต่อมากับโมรุมบี

 

เวลาผ่านไปดูเหมือนความต้องการของแฟนบอลที่ต้องการให้ฟัลเกาลงสนามสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกัน ลีโอน ยังคงไม่พอใจกับฟอร์มของฟัลเกาในระหว่างการฝึกซ้อม เช่นเดียวกับ ซิซินโญ แบ็กขวาเพื่อนร่วมทีมที่ให้สัมภาษณ์ว่า

 

“เราพยายามจะช่วยฟัลเกาในช่วงเปลี่ยนผ่านจากฟุตซอลสู่ฟุตบอล เขาเป็นนักเตะที่ดีมาก และตามประกบได้ยาก แต่สิ่งยากลำบากสำหรับเขาคือความฟิต เขาต้องเรียนรู้บางอย่าง ซึ่งผมเชื่อว่าเขาทำได้”

 

ฟัลเกายังคงได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงเชียร์ของแฟนบอลได้เปลี่ยนจากการเรียกร้องให้เขาลงสนามเป็นการเปลี่ยนเขาออก ฟัลเกาได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวจริง และเป็นครั้งสุดท้ายกับ คัมปิโอนาโต เปาลิสตา หลังจากที่ทีมคว้าแชมป์ลีกไปแล้ว

 

เขาได้ออกสตาร์ทในตำแหน่งกองหน้า แต่สุดท้ายได้เวลาในสนามเพียงแค่ 45 นาทีก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่ง และนั่นคือจุดจบของเส้นทางสู่อาชีพนักฟุตบอลของฟัลเกา

 

“ผมถูกเลือกให้เป็นนักฟุตซอลยอดเยี่ยมของโลกเมื่อปี 2004 แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ภาพลักษณ์ของผมกำลังเสื่อมเสีย” ฟัลเกาให้สัมภาษณ์กับวิทยุท้องถิ่นถึงการตัดสินใจกลับคืนสู่สนามฟุตซอลเมื่อวันที่ 19 เมษายน ก่อนจะเปิดใจถึงความรู้สึกที่เขามีต่อผู้จัดการทีมเป็นครั้งแรกว่า

 

“เขาเปิดปากก็ต่อเมื่อเขาจะพูดสิ่งที่ชั่วร้ายกับผม”

 

หลังจากผ่านเวลาอันยากลำบากกับความพยายามยกระดับความฝันจากสนามฟุตซอลสู่ฟุตบอล 11 คน ฟัลเกาใช้เวลาเพียงหนึ่งปีกลับมาคว้ารางวัลนักฟุตซอลยอดเยี่ยมของโลกเป็สมัยที่ 2 ซึ่งนับเป็นบทพิสูจน์ที่แม้ว่า อเลสซานโดร โรซา วิเอรา อาจจะไม่ได้ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในตำนานของวงการฟุตบอล แต่เขาก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นที่สุดของวงการฟุตซอล พร้อมกับฉายาติดหูที่ว่า เปเลของวงการฟุตซอลไปแล้ว

 

ฝีเท้าที่เกิดจากสัญชาตญาณ

 

 

ฟัลเกา พูดถึงสไตล์ของเขาหลายครั้งผ่านบทสัมภาษณ์ต่างๆ ซึ่งเขายืนยันว่าท่วงท่าและลีลาเกิดขึ้นจากการที่เขาปรับตัวต่อสถานการณ์นั้นๆ และไม่สำคัญว่าจะเป็นเกมระดับฟุตซอลโลก หรือเกมธรรมดาเขาจะลงสนามด้วยความคิดแบบเดียวกันหมด

 

“ในการเล่นของผมเหมือนเดิมมาตลอด ตั้งแต่ข้างถนน ที่บ้าน ในโรงเรียน หรือกับเพื่อนๆ ผมไม่เคยเปลี่ยนแม้ว่าจะกลายเป็นนักเตะอาชีพแล้วก็ตาม และผมไม่ได้เลือกที่จะเล่นแบบไหนกับเกมใด หรือนักเตะคนไหนเป็นพิเศษ ผมแค่ลงมือทำมัน ในหัวผมไม่มีความต่างระหว่างนัดชิงแชมป์โลก หรือเกมทั่วไป’

 

“คุณต้องแสดงให้แฟนๆ ที่ไม่รู้จักฟุตซอลเห็นว่ามันมีเสน่ห์อย่างไร นั่นคือสิ่งที่ทักษะต่างๆ รวมถึงทริกส์ และความสุขในการลงเล่นเข้ามามีส่วนสำคัญ”

 

แต่สิ่งที่ฟัลเกามองว่าแยกระหว่างนักเตะทั่วไปกับนักเตะที่ดีที่สุด คือความฟิตและ แท็กติก ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นตัวตัดสินในช่วงเวลาสำคัญของเกม

 

“ก่อนหน้านี้คุณสามารถชนะได้ด้วยสกอร์ 10 ลูกหรือมากกว่านั้น แต่วันนี้คุณต้องทำงานอย่างหนักเพื่อชัยชนะเพียง 2 หรือ 3 ลูก

 

“เราจะไม่ได้เจอคู่ต่อสู้ที่ง่ายในศึกฟุตซอลโลก คุณคิดว่าเวียดนามเป็นคู่แข่งที่ง่ายเหรอ ไม่เลย คุณต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเอาชนะพวกเขา อุซเบกิสถานก็เช่นกัน แต่ผมชอบแบบนี้ เกมที่สูสีคือเกมที่ตื่นเต้น’

 

การก้าวออกจากสนามฟุตซอลครั้งที่สอง ฟัลเกา

 

 

มกราคมที่ผ่านมาในปีสุดท้ายของการเป็นนักฟุตซอลอาชีพ ฟัลเกาได้ให้สัมภาษณ์กับ Times Malta เผยว่าการตัดสินใจกลับคือสู่วงการฟุตซอลของเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และหลังจากที่เขาประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพนี้ ก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องก้าวออกจากสนามมาช่วยส่งเสริมและพัฒนากีฬาฟุตซอล

 

“หลังจากที่ประสบความสำเร็จแล้ว เป็นเรื่องอัตโนมัติเลยที่ผมจะต้องมีความรับผิดชอบ เพราะไม่ว่าผมไปที่ไหนก็ตาม ผมจะเป็นตัวแทนของกระแส ผมคือแอมบาสเดอร์ของฟุตซอลไปแล้ว’

 

ซึ่งอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ฟัลเกาเป็นที่ชื่นชอบทั้งในและนอกสนามคือความถ่อมตัวและความเป็นมืออาชีพของเขา โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เขาพูดถึงคู่แข่ง อย่าง ริคาร์ดินโญ อีกหนึ่งนักฟุตซอลระดับตำนานจากโปรตุเกส

 

“ผมเคยได้พบเจอนักเตะที่ดีที่สุดในโลกฟุตซอล และผมมักจะคิดถึงริคาร์ดินโญ เสมอ เพราะนอกเหนือจากมิตรภาพความเป็นเพื่อนของเราแล้ว เขาพยายามจะเรียนรู้จากผม และประสบความสำเร็จในอาชีพของเขา

 

“ริคาร์ดินโญ ยังได้สักสัญลักษณ์เบอร์ 12 ของผมลงบนตัวเขา ซึ่งเป็นการให้เกียรติผมมากจากนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ของวงการ”

 

ปาร์ตี้ย่อมมีวันเลิกลา แต่สิ่งหนึ่งที่จะอยู่ตลอดไปคือ ฝีเท้าที่เป็นอมตะ และเมื่อใดก็ตามที่คนเริ่มค้นหาว่าใครคือที่สุดของฟุตซอล ชื่อของฟัลเกาจะอยู่ไม่พ้นบรรทัดแรกของกูเกิลอย่างแน่นอน

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising