×

SCBAM คาด พ.ย. นี้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย หนุนตลาดหุ้นฟื้น ลุ้น Fund Flow กลับลุยหุ้นไทย แนะสะสมหุ้นไทย-บิ๊กเทคสหรัฐฯ

08.09.2023
  • LOADING...
Fed ดอกเบี้ย

บลจ.ไทยพาณิชย์ จับตาเศรษฐกิจสหรัฐฯ​ ชะลอตัว คาดทำ Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อกดเงินเฟ้อ หนุน Fund Flow กลับซื้อหุ้นไทย พร้อมลุ้นจีนออกมาตรการชุดใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจ 

 

วิจักขณ์ ณ เชียงใหม่ Associate Director ฝ่ายการลงทุนผ่านกองทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ (SCBAM) Morning Wealth ว่า แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่อง จากระดับ 0.25% สู่ระดับ 5.5% แต่ตัวเลขข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่รายงานออกมาก่อนหน้านี้ยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง 

 

อย่างไรก็ดี ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น หลังการรายงานตัวเลขข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ​ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทั้งตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้บริโภค, รายงานอัตราการว่างงาน, GDP, ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานเดือนมิถุนายนปีนี้ที่ออกมาต่ำสุดในรอบประมาณ 2 ปี และดัชนี PMI ที่มีตัวเลขต่ำกว่า 50 มา 10 เดือนติดต่อกัน จากผลกระทบที่เกิดจากการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ที่เริ่มขึ้นมาตั้งแต่ตั้งปี 2022 

 

ด้านทิศทางดอกเบี้ย Fed ตลาดคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกจำนวน 1 ครั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อกดตัวเลขอัตราเงินเฟ้อให้สู่กรอบตัวเลขเป้าหมายที่ 2% จากปัจจุบันที่อยู่ระดับประมาณ 3% ซึ่งน่าจะเพียงพอในการควบคุมเงินได้ 

 

ลุ้นจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่

 

ขณะที่เศรษฐกิจของจีนกำลังเผชิญกับปัญหาการชะลอตัวทั้งการผลิตภาคอุตสาหกรรม, ยอดขายภาคค้าปลีก, ตัวเลขส่งออกที่ออกมาย่ำแย่ อีกทั้งยังมีประเด็นที่ Country Garden บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีนที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง เข้ามากระทบ Sentiment เศรษฐกิจจีนเพิ่มเติม เพราะภาคอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนถึงประมาณ 30% ของ GDP ของจีน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาพรวมเศรษฐกิจของจีน

 

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลจีนใช้วิธีการแก้ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวของแบบเชิงรับ ยังไม่มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบชุดใหญ่ ซึ่งมาตรการล่าสุดที่ประกาศใช้คือการลดสัดส่วนเงินดาวน์ของภาคอสังหาริมทรัพย์ใน 4 เมืองใหญ่ ได้แก่ ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, กว่างโจว และเซินเจิ้น รวมถึงมีการประกาศลดภาษีการขายหุ้น ดังนั้น ในช่วงที่เหลือของปี 2023 ยังต้องติดตามว่าจีนจะมีการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมออกมาอีกหรือไม่ เพราะตัวเลขเป้าหมายการเติบโตของ GDP ปี 2023 ที่จีนตั้งเป้าหมายเติบโตระดับ 5% ถือว่ามีความท้าทาย จึงมีโอกาสที่จะเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนออกมาในเร็วๆ นี้

 

สำหรับสาเหตุที่จีนยังไม่ออกมาตรการเชิงรุกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าเป็นเพราะรัฐบาลจีนมีความกังลเรื่องการสร้างภาระหนี้ เพราะระดับหนี้ปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงอยู่แล้ว 

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันจีนถือว่ามีสัดส่วนการเก็บออมเงินที่สูงสุดในโลก ดังนั้นมองว่ามาตรการที่รัฐบาลจีนควรทำ คือสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนกับประชาชนจีน เพื่อดึงเงินออกมาใช้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

คาด Fund Flow ไหลกลับเข้าหุ้นไทย

 

วิจักขณ์ยังกล่าวถึงเศรษฐกิจของไทยว่า มีแนวโน้มที่ย่ำแย่หลังจากล่าสุดรายงานตัวเลขส่งออกของไทยออกมาติดลบต่อเนื่องติดต่อกัน 10 เดือน อีกทั้ง GDP ที่เติบโตพลาดเป้าหมาย ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ก่อนหน้านี้เคยอยู่ในระดับที่ดีมาตลอดนับตั้งกลางปี 2022 ปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณที่หักหัวลงแล้ว จึงเหลือเครื่องยนต์เศรษฐกิจเพียงตัวเดียวคือภาคการท่องเที่ยวที่เป็นความหวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

 

โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคมปีนี้ มีตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทยแล้วประมาณ 15.4 ล้านคน ซึ่งมีสัดส่วน 34-35% เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอาเซียนซึ่งมีการใช้จ่ายเงินในการท่องเที่ยวที่น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับนักท่องเที่ยวชาวจีนหรือยุโรปที่มีการใช้จ่ายเงินที่สูง จึงส่งผลกระทบต่อรายได้จากภาคการท่องเที่ยวปีนี้ไม่สูงมาก ประกอบกับนักท่องเที่ยวจีนยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเพราะมีประเด็นเศรษฐกิจภายในที่ชะลอตัว ดังนั้น ต้องติดตามในช่วงไตรมาส 4/23 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยวของไทยว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยเป็นจำนวนเท่าใด

 

“อาจต้องเริ่มทำใจว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวของไทยในปีนี้อาจไปไม่ถึงเป้าที่ธนาคารแห่งประเทศตั้งไว้ที่ 29 ล้านคน แต่บ้านเรายังข่าวดีหลังจากตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้แล้ว น่าจะเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ตามออกมา ซึ่งอาจช่วยสร้างความเชื่อกับนักลงทุนได้ รวมถึง Fed ที่ใกล้จบการขึ้นดอกเบี้ย แล้วมองว่า Fund Flow มีโอกาสไหลกลับมาฝั่งเอเชียรวมถึงไทยมากขึ้นด้วย”

 

จากสถานการณ์ปัจจุบันมองว่ายังมีโอกาสการลงทุนแม้ข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะชะลอตัว แต่เศรษฐกิจยังมีทิศทางที่ดีกว่าเมื่อเปรียบกับเศรษฐกิจกับยุโรป ดังนั้นมีโอกาสจะเห็นตลาดหุ้นเคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์อัพ ส่วนตลาดหุ้นจีนหากรัฐบาลยังไม่ได้ออกมาตรการกระตุ้นที่ชัดเจนคาดว่าจะเคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์ 

 

แนะทยอยสะสมหุ้นไทย-บิ๊กเทคสหรัฐฯ

 

ส่วนคำแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ควรมองภาพการลงทุนในระยะยาวมากกว่าระยะสั้นที่จะเห็นการเคลื่อนไหวที่ผันผวน โดยใช้จังหวะในช่วงที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อ่อนตัว เป็นจังหวะเข้าทยอยสะสมในหุ้นกลุ่มบิ๊กเทค เช่น Apple, Microsoft, Google, Netflix และบริษัทอื่นๆ ที่มีโปรดักต์ออกขายไปทั่วโลกและเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้นโอกาสที่ผลประกอบการจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งส่งผลในช่วงที่เหลือของปีนี้และอีก 2-3 ปีข้างหน้ามีโอกาสที่หุ้นกลุ่มบิ๊กเทคจะปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างดี

 

ขณะกรณีที่ทั้งจีนและยุโรปเริ่มออกนโยบายควบคุมธุรกิจกลุ่มเทคเพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาด คาดว่าจะมีผลกระทบในระยะสั้นเพื่อทำให้การแข่งขันทางธุรกิจเป็นธรรมมากขึ้น แต่ในระยะยาวเชื่อว่าหุ้นกลุ่มบิ๊กเทคยังมีศักยภาพสร้างการเติบโตของผลประกอบได้อย่างแข็งแกร่ง  

 

ด้านตลาดหุ้นไทยหลังได้รัฐบาลใหม่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อหุ้นไทยในระยะสั้น รวมถึงจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่จะเริ่มใช้ในไตรมาส 1/24 รวมถึงนโยบายอื่นๆ ที่จะทยอยออกมาต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาได้ หลังจากในปี 2023 นี้ถือว่ามีการเคลื่อนไหวที่ Underperform ดังนั้นเป็นโอกาสทยอยสะสม

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising