×

นักวิเคราะห์ชี้ เหตุเรือยักษ์ขวางคลองสุเอซกระทบการค้าโลกและการค้าน้ำมัน แต่ผู้ขนส่งสินค้าหลายรายจะได้ประโยชน์

27.03.2021
  • LOADING...
นักวิเคราะห์ชี้ เหตุเรือยักษ์ขวางคลองสุเอซกระทบการค้าโลกและการค้าน้ำมัน แต่ผู้ขนส่งสินค้าหลายรายจะได้ประโยชน์

เรือบรรทุกสินค้าชื่อ Ever Given ขนาดมหึมาที่ติดอยู่และขวางเส้นทางการสัญจรในคลองสุเอซ หนึ่งในเส้นทางการค้าทางทะเลที่สำคัญที่สุดของโลก ตั้งแต่เย็นวันอังคาร (23 มีนาคม) ยังไม่สามารถกู้พ้นออกมาได้

 

เรือลำนี้มีน้ำหนักกว่า 220,000 ตัน ยาวกว่า 400 เมตร มีความสามารถในการบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ได้มากกว่า 20,000 ตู้ เกิดเกยฝั่งขวางคลองหลังถูกลมแรงพัดขณะกำลังเข้าสู่คลองสุเอซของอียิปต์จากทะเลแดง ปิดกั้นทางเดินเรือที่เป็นที่ตั้งของการค้าทางทะเลของโลกราว 12% และโดยปกติเส้นทางนี้จะมีเรือบรรทุกคอนเทนเนอร์แล่นผ่านวันละ 50 ลำ

 

ทั้งเรือลากจูงและเรือขุดกำลังพยายามทำให้เรือสินค้าลำนี้กลับมาลอยลำเป็นอิสระอีกครั้ง แต่บริษัทญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าของเรือระบุว่า ปฏิบัติการดังกล่าวอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์

 

มาร์โค โคลาโนวิก นักกลยุทธ์จาก J.P. Morgan ระบุว่า ท่ามกลางความเชื่อและความหวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายในเวลาอันสั้นนั้น ก็มีความเสี่ยงที่เรือจะแตก และหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว คลองจะถูกขวางเป็นเวลายาวนานขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความปั่นป่วนในการค้าของโลก ค่าขนส่งสินค้าที่พุ่งสูง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พลังงานที่เพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่สูงขึ้นด้วย

 

วิกฤตนี้นับเป็นอีกหนึ่งความเสียหายในซัพพลายเชน หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดความล่าช้า ขาดแคลน และการกดดันราคา สำนักข่าว CNBC ระบุว่า การขนส่งสินค้าที่ล่าช้าจากเหตุไม่คาดฝันครั้งนี้อาจกระทบกับสินค้าหลากหลายประเภท 

 

ส่วน J.P. Morgan ก็มองว่า ในระยะสั้นเหตุการณ์ครั้งนี้จะเพิ่มปัญหาด้านอุปทานตึงตัว จากเดิมที่เกิดคอขวดในห่วงโซ่อุปทานเพราะความคับคั่งของท่าเรือและปัญหาขาดแคลนเรือกับตู้คอนเทนเนอร์เนื่องจากโควิด-19 อยู่แล้ว นอกจากนี้เรือต่างๆ จะต้องหันไปใช้เส้นทางอื่น ทำให้เพิ่มเวลาเดินทางและการขนส่งของเรือบางลำอาจล่าช้ามากกว่า 15 วัน ทางเลือกอื่นที่มีคือการแล่นเรือไปรอบแหลมกู๊ดโฮปทางตอนใต้สุดของแอฟริกา ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่าจะเพิ่มเวลาในการขนส่งได้ถึง 30%

 

ส่วน โจอันนา โคนิงส์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก ING ระบุว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นทันทีจะเน้นไปในด้านการค้าระหว่างยุโรปกับเอเชีย เพิ่มความล่าช้าให้กับห่วงโซ่อุปทานที่กระทบต่ออุปทานของน้ำมันและผลิตภัณฑ์จากการกลั่นซึ่งปั่นป่วนอยู่แล้ว

 

และเหตุการณ์ดังกล่าวก็ส่งผลถึงราคาน้ำมันแล้ว โดยเมื่อรวมกับข้อมูลทางเศรษฐกิจอื่นๆ ก็ส่งผลให้สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบเบรนท์ล่วงหน้าส่งมอบเดือนพฤษภาคมพุ่งขึ้นไปปิดที่ 64.41 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวันพุธ (24 มีนาคม) แม้ว่าราคาจะปรับตัวลดลงในวันพฤหัสบดีก็ตาม

 

CNBC ยังชี้ว่าในแต่ละวันที่เรือยังคงขวางอยู่ จะหมายถึงการส่งน้ำมัน 3-5 ล้านบาร์เรลต่อวันที่ล่าช้าออกไป ขณะที่ S&P Platts รายงานว่า เรือบรรทุกน้ำมันที่บรรทุกน้ำมันอยู่หลายลำยังคงล่าช้าอยู่บนเส้นทางอ่าวเปอร์เซีย-ยุโรป เช่นเดียวกับเรือบรรทุกน้ำมันเปล่าที่กำลังแล่นไปรับน้ำมันจากทะเลเหนือ อีกด้านหนึ่งคลองนี้ยังเป็นทางผ่านสำหรับการขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ของโลกราว 8% และการหยุดชะงักเป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อการส่งสินค้าไปยังตลาดยุโรปเป็นหลัก

 

อย่างไรก็ตาม ปีเตอร์ ซูเทอร์แลนด์ ประธานของบริษัทด้านการลงทุนทางพลังงาน Henrietta Resources ระบุว่า ผลกระทบใดๆ ในด้านราคาน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่นานนัก และ J.P. Morgan ก็ระบุว่า ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากกรณีนี้ก็อย่างเช่นผู้ให้บริการขนส่งในกรณีการขนส่งเฉพาะครั้ง อาทิ การขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ เรือขนส่งน้ำมัน และการขนส่งสินค้าทางอากาศ ที่จะมีอัตราค่าขนส่งที่สูงขึ้น เป็นต้น J.P. Morgan วิเคราะห์ว่าเรือเดินสมุทรของเอเชียจะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากค่าขนส่งเฉพาะครั้งที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าต้นทุนค่าเชื้อเพลิงจะเพิ่มจากการเปลี่ยนเส้นทางและความคับคั่งที่เพิ่มขึ้นก็ตาม

 

ส่วน ทอบยอน โซลท์เวดท์ หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือของบริษัทวิจัย Verisk Maplecroft ระบุว่า เหตุขวางคลองดังกล่าวจะทำให้ Risk Premium สำหรับน้ำมันและผลิตภัณฑ์จากการกลั่นในตะวันออกกลางที่สูงอยู่แล้วนั้นสูงขึ้นอีก และย้ำถึงความเสี่ยงจากการโจมตีโรงน้ำมันท่ามกลางความตึงเครียดในภูมิภาค

 

และแม้นักวิเคราะห์คาดว่าสถานการณ์จะคลี่คลายภายในสัปดาห์นี้ แต่ Bank of America ชี้ว่าการหยุดชะงักอาจยาวนานขึ้นหากเกิดเหตุแทรกซ้อนหรือความเสียหายกับตัวเรือ และเมื่อปัญหาการจราจรคลี่คลาย เรือจะเข้าสู่ท่าช้ากว่ากำหนดการ ซึ่งก็อาจทำให้เกิดความคับคั่งมากขึ้น อย่างไรก็ตาม Bank of America บอกว่าการขวางเพียงไม่กี่วันนั้นถือเป็นเรื่องที่จัดการได้ในอุตสาหกรรมขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ แม้บางครั้งอาจมีค่าเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นเพราะบริษัทขนส่งต้องการเร่งเวลาการให้บริการเพื่อทดแทนเวลาที่เสียไป

 

ซูเทอร์แลนด์ย้ำด้วยว่า ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นเน้นย้ำให้เห็นว่าเครือข่ายการค้าที่โลกพึ่งพาอาศัยอยู่นั้นเปราะบางเพียงใด และเมื่อรวมกับการโจมตีคลังน้ำมันของซาอุดีอาระเบียที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ถือเป็นเครื่องย้ำเตือนให้เห็นถึงจุดอ่อนในห่วงโซ่อุปทานของน้ำมันและก๊าซในระดับโลกด้วย

 

ภาพ: Samuel Mohsen / picture alliance via Getty Images

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising