×

‘อีฟแอนด์บอย’ ทุ่ม 200 ล้าน ทำแคมเปญใหญ่ ดึง ‘มาร์ค ต้วน’ นั่งแท่นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ปูทางสาขาขยายไปต่างประเทศ

27.03.2023
  • LOADING...

จากปกติใช้งบการตลาดเพียงปีละ 50-60 ล้านบาท แต่ปีนี้ ‘อีฟแอนด์บอย’ ยอมทุ่มทุน 200 ล้านบาททำแคมเปญครั้งใหญ่ เพื่อโปรโมตแบรนด์ที่ได้ ‘มาร์ค ต้วน’ มานั่งแท่นแบรนด์แอมบาสเดอร์

 

เหตุผลที่เป็น ‘มาร์ค ต้วน’ มาจากการที่อีฟแอนด์บอยมองว่ามีคาแรกเตอร์เป็นคนรุ่นใหม่ มีความสมาร์ท เท่ และชอบดูแลตัวเอง บวกกับไลฟ์สไตล์แฟชั่น ทั้งนี้ ยังมีฐานแฟนคลับที่เป็น Young Generation ซึ่งตรงกับกลุ่มลูกค้าอีฟแอนด์บอย

 

“มาร์ค ต้วน จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนรู้จักแบรนด์เรามากขึ้น ไม่ใช่แค่ไทยเท่านั้น แต่จะเป็นทั่วโลกซึ่งมาจากฐานแฟนคลับ” หิรัญ ตันมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีฟแอนด์บอย จำกัด กล่าว

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

เบื้องหลังการยอมทุ่มเงินมาจากการที่อีฟแอนด์บอยต้องการใช้ชื่อเสียงของ มาร์ค ต้วน เพื่อปูทางสู่การขยายไปในต่างประเทศ ซึ่งเบื้องต้นจะเปิดในกลุ่มประเทศ CLMV ก่อนในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ โดยที่ผ่านมามีฐานลูกค้าเป็นชาวต่างชาติราว 10% ด้วยกัน

 

แผนดังกล่าวสอดคล้องกับคำพูดของหิรัญ ที่เคยให้สัมภาษณ์เมื่อปีที่แล้วว่า อยากทำให้รายได้ไปถึงระดับ 1 หมื่นล้านบาท หลังจากปี 2562 ทำรายได้ราว 4.5 พันล้านบาท โดยตั้งเป้าทำรายได้ให้เพิ่มขึ้นเป็น 5 พันล้านบาทในปี 2565

 

สำหรับในปีนี้ หิรัญเผยว่าอีฟแอนด์บอยกลับมาคึกคักทั้งในส่วนของแคมเปญ กิจกรรมหน้าร้าน โปรโมชัน และเปิดรับแบรนด์ชั้นนำเข้ามาร่วมเป็นพาร์ตเนอร์จำนวนมาก ซึ่งยอดขายในปี 2566 สามเดือนแรกมีตัวเลขที่เติบโตขึ้นมากกว่า 60% เมื่อเทียบกับปี 2565 และเมื่อเทียบกับปี 2564 โตขึ้นมากกว่า 20%

 

“คาดว่าหลังจากเปิดตัวโกลบอลแอมบาสเดอร์ จะมีทราฟฟิกสูงมากขึ้น” หิรัญกล่าว แต่ไม่ขอเปิดเผยตัวเลขยอดขายที่จะเพิ่มขึ้น

 

หลังการระบาดของโควิดผ่านพ้นไป กลุ่มเมกอัพและสกินแคร์กลับมาได้รับความนิยมสูงอีกครั้ง และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อยอดขายโตขึ้นมากกว่า 71% โดยเฉพาะลิปสติกและรองพื้น โดยการผ่อนคลายมาตรการให้ถอดหน้ากากอนามัยได้นั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่มเมกอัพได้รับการตอบรับสูงขึ้นมาก 

 

ขณะเดียวกัน หลายแบรนด์ทยอยออกสินค้าใหม่ ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคกลับมาคึกคัก ในส่วนของสินค้ากลุ่มสกินแคร์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของเวชสำอางและกลุ่มบอดี้แคร์ เติบโตขึ้นมากกว่า 53% เมื่อเทียบกับปี 2565

 

ข้อมูลจาก L’Oréal Thailand เผยว่า ในปี 2564 ตลาดความงามกลับมาคึกคักอีกครั้งด้วยมูลค่าตลาดรวมกว่า 1.447 แสนล้านบาท โดยเติบโต 5% ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวยังครองส่วนแบ่งการตลาดไว้ได้สูงที่สุดที่ 57.5% ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 21% ผลิตภัณฑ์กลุ่มเมกอัพยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องด้วยส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 3 ที่ 15.5% ด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำหอมมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 6%

 

ตลาดความงามในประเทศไทยมีขนาดเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาค SAPMENA (เอเชีย-แปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ) โดย L’Oréal Thailand มองว่า ตลาดจะกลับมาเติบโตอีกหลังจากผู้คนเลิกใส่หน้ากากอนามัยและกลับมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้ง

 

แน่นอนการเติบโตของตลาดความงามย่อมเป็นผลดีต่ออีฟแอนด์บอยที่ปัจจุบันมีทั้งหมด 18 สาขา และวางแผนจะเพิ่มอีก 3 สาขาในปีนี้

 

“เรามี Positioning ที่ค่อนข้างชัดเจน มีทั้งแบรนด์ไทยและต่างชาติ ราคาไม่แพงไปจนถึงลักชัวรี ทำให้ภาพรวมคู่แข่งตรงๆ มีน้อย ส่วนใหญ่จะแข่งกันเฉพาะบางสินค้ามากกว่า” ผู้ก่อตั้งอีฟแอนด์บอยกล่าว

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising