วานนี้ (18 สิงหาคม) เกิดเหตุพายุรุนแรงพัดถล่มทางตอนกลางและตอนใต้ของยุโรป ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 13 รายในอิตาลี ออสเตรีย และฝรั่งเศส ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นเด็กน้อย 3 ราย โดยสาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากการที่พายุพัดต้นไม้หักโค่นลงมาทับร่าง ขณะมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก
ฝนที่โหมกระหน่ำและลมแรงได้ทำลายจุดตั้งแคมป์บนเกาะคอร์ซิกาของฝรั่งเศส โดยเกาะคอร์ซิกาเผชิญกับลมกระโชกแรงสูงถึง 224 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่งผลให้ต้นไม้หักโค่นและบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ขณะที่เมืองมาร์กเซย ถนนหลายสายถูกน้ำท่วมหนัก
ส่วนสถานการณ์ในอิตาลีนั้น มหาวิหารเซนต์มาร์กแห่งเมืองเวนิสเผชิญกับสภาพอากาศที่รุนแรงจนสถาปัตยกรรมบางส่วนได้รับความเสียหาย ขณะมีผู้เสียชีวิต 2 ราย จากเหตุต้นไม้ทับในแคว้นตอสกานา ส่วนในทางตอนใต้ของประเทศนั้นยังคงเผชิญกับคลื่นความร้อนรุนแรง ท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงถึง 40 องศาเซลเซียส
ออสเตรียมีผู้เสียชีวิต 5 ราย จากเหตุต้นไม้ล้มทับ ขณะที่รถไฟในหลายพื้นที่ต้องหยุดให้บริการชั่วคราวเนื่องจากเกิดความเสียหายจากพายุ ส่วนบ้านเรือนของประชาชนพังเสียหายหลายหลัง โดยภาพจากโซเชียลมีเดียเผยให้เห็นหลังคาบ้านที่ปลิวหลุดออกมาจากลมกระโชกแรง ขณะเสาไฟฟ้าแรงสูงหลายต้นหักพับลงมา ส่งผลให้เกิดไฟดับเป็นวงกว้าง
พายุที่รุนแรงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ยุโรปเผชิญกับคลื่นความร้อนและภัยแล้งกินเวลายาวนานหลายสัปดาห์ โดยเหตุการณ์สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว หรือ Extreme Weather Event ซึ่งรวมถึงคลื่นความร้อนและพายุนั้น ได้ทวีความรุนแรงขึ้นและเกิดถี่ขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อันเป็นผลจากภาวะโลกรวน ปัจจุบันอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นราว 1.1 องศาเซลเซียส นับตั้งแต่เริ่มต้นยุคอุตสาหกรรม ซึ่งมีแนวโน้มว่าอุณหภูมิโลกจะปรับตัวสูงขึ้นอีก หากรัฐบาลทั่วโลกไม่ออกมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
ภาพ: EMMANUEL DUNAND / POOL / AFP
อ้างอิง:
