อังกฤษทำได้ตามสัญญาแม้จะต้องใช้เวลาถึงเกมที่ 3 เพื่อผงาดขึ้นมาคว้าแชมป์กลุ่ม D หลังจากชัยชนะเหนือสาธารณรัฐเช็ก 1-0 ในเกมเมื่อคืนที่ผ่านมา ขณะที่อีกคู่ โครเอเชียก็คืนฟอร์มรองแชมป์ฟุตบอลโลก ไล่ทุบสกอตแลนด์ 3-1 กระโดดขึ้นไปคว้าอันดับที่ 2 ของกลุ่มมาครองได้สำเร็จ พร้อมทำให้ ‘เช็กเกีย’ หล่นไปรั้งอันดับที่ 3 ของตารางไปในคราวเดียวกัน และนี่คือประเด็นที่เกิดขึ้นหลังเกมนี้
อันดับที่ 2 ของ ‘Group of Death’ คือสิ่งที่อังกฤษต้องรับมือ
อังกฤษทำหน้าที่ของพวกเขาได้ลุล่วงตามความคาดหมาย หลังจากที่เอาชนะสาธารณรัฐเช็กได้สำเร็จ 1-0 ในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม D ที่สนามเวมบลีย์เมื่อคืนที่ผ่านมา แม้ว่าจะดูทุลักทุเลไปหน่อยก็ตาม เพราะรวม 3 นัดแล้วพวกเขายิงได้เพียงแค่ 2 ประตู และกลายเป็นทีมแชมป์กลุ่มที่ทำประตูได้น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ยูโร แต่ถ้านับแค่เป้าหมายตามความคาดหวังก็ถือว่าลุล่วง
ฟอร์มการเล่นของทีมอังกฤษในเกมนี้ถือว่าดีกว่า 2 นัดที่ผ่านมา การได้ แจ็ค กรีลิช ลงสนามตั้งแต่แรก ทำให้การเล่นเกมบุกของทีมสร้างสรรค์มากขึ้น และมีโอกาสเข้าทำได้อย่างจะแจ้งกว่าที่เคย โดยประตูที่เกิดขึ้นในเกมนี้ก็มาจากการแอสซิสต์ของเพลย์เมกเกอร์สังกัดแอสตัน วิลลาคนนี้ ขณะที่ ราฮีม สเตอร์ลิง ก็กลายเป็นนักเตะคนที่ 2 ของอังกฤษ ที่ทำประตู 2 ลูกต่อเนื่องกันให้กับทีมชาติในฟุตบอลยูโร โดยอีกคนคือ อลัน เชียร์เรอร์ กองหน้าระดับตำนานที่เคยทำได้ในยูโร 1996
การที่อังกฤษเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม ข้อดีก็คือพวกเขาจะได้แฟนบอลหนุนหลังในเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายอย่างแน่นอน เพราะแชมป์กลุ่ม D จะการันตีการแข่งขันในเวมบลีย์ต่ออีกนัด ซึ่งจะส่งผลดีไปถึงการเตรียมทีมและการที่พวกเขาไม่ต้องเดินทางด้วย แต่ข้อเสียของการเป็นแชมป์กลุ่ม D ใช่ว่าจะไม่มี แถมยังน่าจะเป็นข้อเสียที่หนักหนามากด้วย เนื่องจากคู่แข่งของแชมป์กลุ่มนี้ในรอบต่อคือทีมอันดับที่ 2 ของกลุ่ม F
เป็นที่รู้กันดีว่ากลุ่ม F เป็น Group of Death ที่มีทีมระดับพระกาฬเดินชนกันอยู่ในกลุ่ม ทั้งฝรั่งเศส โปรตุเกส และเยอรมนี โดยมีตัวสอดแทรกคือฮังการี สถานการณ์ของกลุ่ม F ในตอนนี้ยังไม่มีใครการันตีอันดับอย่างชัดเจน นอกจากฝรั่งเศสที่การันตีการเข้ารอบต่อไปแล้วแน่นอนเท่านั้น หมายความว่าอังกฤษจะเจอกับใครก็ได้ในกลุ่มนี้ที่เป็นคู่แข่งในระดับ ‘เขี้ยวลากดิน’ ทั้งนั้น ซึ่งยกเว้น ‘แม็กยาร์’ ทีมเดียว
อย่างไรก็ตามข้อดีของการเจอคู่แข่งที่ ‘เข้ม’ คือถ้าสามารถเอาชนะและผ่านเข้ารอบต่อไปได้ พวกเขาก็จะได้รับเครดิตและความมั่นใจอย่างมาก แต่ไม่ว่าจะเจอใครก็ตามถ้าหากต้องการพาฟุตบอลกลับบ้านด้วยการผลงานเป็นแชมป์ยูโรครั้งนี้ อังกฤษก็จำเป็นจะต้องผ่านไปให้ได้สถานเดียวเท่านั้น
ฟอร์มที่แท้จริงของโครเอเชีย?
สองนัดก่อนหน้านี้ ฟอร์มการเล่นของโครเอเชียเข้าขั้นน่าผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็นเกมกับอังกฤษหรือสาธารณรัฐเช็กก็ตาม แต่ในเกมเมื่อคืนที่ผ่านมาที่พบกับสกอตแลนด์ เหมือนเราได้เห็นฟอร์มการเล่นแบบที่ ‘โครแอต’ ทำได้ในฟุตบอลโลก 2018 อีกครั้ง โดยเฉพาะการครองบอลในแดนกลาง การสร้างความต่อเนื่องในเกม และความเด็ดขาดในการจบสกอร์ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังเกมนี้
คนที่โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นที่สุดในเกมก็หนีไม่พ้นชื่อของ ลูกา โมดริช ที่ยิง 1 จ่าย 1 โดยประตูที่เขาทำได้ทำให้เหมาสถิติอย่างการเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุด (22 ปี 273 วัน) และอายุมากที่สุด (35 ปี 286 วัน) ที่ทำประตูให้กับทัพ ‘โครแอต’ ได้ในคนคนเดียว และฟอร์มการเล่นของเขาในเกมนี้ยิ่งน่าจะทำให้คู่แข่งในรอบต่อไปที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าน่าจะรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมาได้บ้าง
ชัยชนะในเกมนี้ทำให้ทีมโครเอเชียแซงหน้าสาธารณรัฐเช็ก ขึ้นไปรั้งอันดับที่ 2 ของกลุ่ม D แม้ว่าจะมีทั้งคะแนน (3 แต้ม) และประตูได้เสีย (+1) เท่ากัน แต่เมื่อไปนับประตูที่ทำได้แล้วทีม ‘โครแอต’ ทำได้ดีกว่าหลังจากยิงรวมถึง 4 ประตู แต่เช็กยิงไป 3 ประตูเท่านั้น ทำให้โครเอเชียได้ขึ้นไปจบในอันดับที่ 2 แทนที่
โครเอเชียจะพบกับทีมรองแชมป์กลุ่ม E ในสนามพาร์เคน สเตเดียมในโคเปนเฮเกน ซึ่งคู่แข่งของพวกเขายังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นใคร เนื่องจากยังมีความเป็นไปได้กับทุกทีมในกลุ่ม E ไม่ว่าจะเป็น สวีเดน, สโลวะเกีย, สเปน หรือโปแลนด์ อย่างไรก็ตามถ้าหากพวกเขารักษาฟอร์มเก่งแบบที่เล่นในนัดนี้ไว้ได้ ไม่ว่าทีมของ ซลัตโก ดาลิช จะเจอกับใครก็น่าจะเป็นเกมที่สนุกอย่างแน่นอน
แพ้แล้วไง? สาธารณรัฐเช็กยังได้ไปต่อ
สาธารณรัฐเช็กรั้งตำแหน่งจ่าฝูงในกลุ่ม D ตลอด 2 นัดแรก แต่ก็ไม่สามารถรักษาตำแหน่งที่ว่ามาได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาต้องตกมาจบอันดับ 3 ในกลุ่มนี้ แต่ยังดีที่การมี 4 คะแนนจาก 3 เกม เพียงพอให้พวกเขาเป็น 1 ในทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุด ซึ่งจะได้เข้ารอบน็อกเอาต์แน่นอนแล้ว และทำให้ในตอนนี้มีทีมที่การันตีการเข้ารอบไปแล้วทั้งหมดถึง 12 ทีม โดยจะเหลือที่ว่างอีก 4 ที่นั่งเท่านั้น
การเป็นที่ 3 ของกลุ่ม D หมายความว่า คู่แข่งในรอบต่อไปของทีม ‘เช็กเกีย’ จะเป็นไปได้แค่ 2 ทางเลือกเท่านั้น คือถ้าไม่เจอกับแชมป์กลุ่ม E ก็จะต้องไปเจอกับแชมป์กลุ่ม C นั่นก็คือ เนเธอร์แลนด์ ที่ชนะมา 3 นัดรวด และเก็บ 9 คะแนนเต็มในรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งถ้ามองไปถึงฟอร์มการเล่น 2 นัดที่ผ่านมาของทีมในกลุ่ม E เทียบกับเนเธอร์แลนด์แล้วก็ต้องยอมรับว่าการเจอทีมในกลุ่ม E อาจจะง่ายกว่าก็ได้
อย่างไรก็ตามสาธารณรัฐเช็กไม่ได้อยู่ในจุดที่จะเลือกคู่แข่งได้ และหากอยากเข้ารอบต่อไปพวกเขาก็มีแต่จะต้องเก็บชัยชนะให้ได้เท่านั้นไม่ว่าคู่แข่งจะเป็นทีมไหนก็ตาม แต่กว่าจะถึงจุดนั้น พวกเขาคงพักฉลองความสำเร็จที่สามารถกลับเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ในฟุตบอลยูโรได้อีกครั้ง หลังเมื่อ 5 ปีที่แล้วต้องตกรอบไปด้วยการรั้งบ๊วยกลุ่มอย่างเจ็บปวด
พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ
อ้างอิง: