×

เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา เพราะทุกการโกหกมีผลลัพธ์ที่ต้องแลกมาเสมอ

18.07.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • My Girl 18 มงกุฎสุดที่รัก คือผลงานเรื่องล่าสุดของเอสเธอร์ ที่เธอต้องรับบทเป็นนางเอกที่ไม่ได้เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ แต่เป็นนางเอกจอมกะล่อนที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาช่วยเหลือพ่อของตัวเอง
  • เอสเธอร์เป็นคนไม่เชื่อในเรื่องการโกหก แต่การแสดงซีรีส์เรื่องนี้ทำให้เธอได้กลับมาทำความเข้าใจกับเหตุผลในการโกหกของแต่ละคนอีกครั้ง
  • ถ้าไม่นับเรื่องการโกหกคุณแม่เรื่องไปเที่ยวตั้งแต่สมัยเด็ก เอสเธอร์ก็แทบไม่เคยพูดโกหกอีกเลยไม่ว่าจะเรื่องอะไรหรือกับใครก็ตาม

จากเด็กคนหนึ่งที่เรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเคยเป็น ‘ติ่ง’ ทุกอย่างในวัฒนธรรมเกาหลีมาก่อน วันนี้ เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา ได้รับโอกาสครั้งสำคัญในการรับบทนำในซีรีส์ My Girl 18 มงกุฎสุดที่รัก เวอร์ชันภาษาไทยด้วยตัวเอง จากเมื่อก่อนที่ทำได้แค่เพียงติดตามและแอบเชียร์ให้พระเอกและนางเอกลงเอยกันด้วยดีเท่านั้น

 

นอกจากการสานฝันในวัยเด็ก การต้องรับบทเป็น 18 มงกุฎที่ต้องยอมหลอกคุณปู่ของพระเอกที่สูญเสียความทรงจำเพราะหวังให้เขาได้มีความสุขในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ก็ได้ทำให้เอสเธอร์ที่เลิกพูดโกหกมาตั้งแต่เด็ก ได้กลับมาทำความเข้าใจถึงเหตุผลในการโกหกของแต่ละคนอีกครั้ง และยังได้เรียนรู้ว่าที่จริงแล้ว นางเอกไม่จำเป็นต้องเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ แต่นางเอกก็มนุษย์คนหนึ่ง ที่สามารถกวนประสาท ต่อสู้ ทำผิด โกหกได้เหมือนกัน  

 

 

ปกติเอสเธอร์เป็นคนที่ติดตามดูซีรีส์เกาหลีมากขนาดไหน

ชอบดูเลยนะ เรื่องไหนที่สนุกก็ค่อนข้างติดได้พอสมควรอย่าง You Who Came from the Stars, Full House หรือ My Girl เวอร์ชันต้นฉบับของ 18 มงกุฎสุดที่รัก นี่ก็ติดมาตั้งแต่อายุ 10 กว่าขวบแล้ว จำได้ว่าตอนนั้นต้องไปซื้อซีดีที่เซียร์ รังสิต กลับมาก็เอามาดูยาว หมดแผ่นก็เปลี่ยน ดูโต้รุ่งจนถึงเช้าก็ต้องดู

 

ตอนนั้นเราดูเพราะความสนุกล้วนๆ เลยนะ ไม่ได้คิดอะไรเลย ชอบเนื้อเรื่อง ชอบตัวละครพระเอกกับนางเอกเวลาอยู่ด้วยกัน เพลงเพราะ แล้วก็จะมีพระเอกที่แสนดีมากๆ เราก็จะตกหลุมรักพระรองมากกว่านางเอก แต่นางเอกก็จะเลือกพระเอกที่ไม่ได้เพอร์เฟกต์ขนาดนั้นทุกครั้งเลย (หัวเราะ)

 

พอโตขึ้น เอสเธอร์กลายเป็นนักแสดงที่ต้องมารับบทแบบนั้นด้วย พอจะได้คำตอบบ้างไหมว่าทำไมนางเอกถึงต้องเลือกพระเอก ทั้งที่พระรองดีกว่าพระเอกแทบทุกอย่าง

(คิดนาน) คงเพราะว่าคาแรกเตอร์ของพระเอกคือคนจริงๆ ที่สามารถจับต้องได้มากกว่า เขาคือมนุษย์ที่มีทั้งข้อดีข้อเสีย และตัวนางเอกเองก็ไม่ได้เพอร์เฟกต์ไปทั้งหมด มีส่วนที่ดีและส่วนที่ไม่ดีเหมือนกัน ตรงนี้แหละที่ทำให้เวลาอยู่ด้วยกันแล้วนางเอกรู้สึกสบายใจมากกว่า แต่พระรองทั้งหลายด้วยความที่เขาเพอร์เฟกต์มากๆ บางทีมันเป็นกำแพงที่กั้นเราเอาไว้เหมือนกันนะ แล้วคำตอบสุดท้ายที่ชัดเจนมากที่สุดคือ เราเลือกอยู่กับคนที่เรารัก ไม่ใช่เลือกคนที่แสนดี อย่างแฟนของเราเอง (เคน-ภูภูมิ พงศ์ภาณุ) เขาก็มีความเป็นพระเอกมากกว่าพระรองนะ คือมีทั้งด้านที่ดีและด้านที่ไม่ดี แต่อย่างที่บอกว่าเขาและเราก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องมีทั้งสองด้าน และถ้าเรารับทั้งสองด้านของกันได้แค่นั้นก็โอเคแล้ว

 

นอกจากซีรีส์เกาหลี เอสเธอร์ได้ติดตามวัฒนธรรมอื่นๆ ของเกาหลีอีกบ้างไหม

แทบทุกอย่างเลย สถานที่ท่องเที่ยว อาหาร วัฒนธรรม โดยเฉพาะบอยแบนด์ เกิร์ลกรุ๊ปนี่ชอบมาก สมัยเด็กๆ เรียกว่าเป็นติ่งเลยก็ได้ (หัวเราะ) อย่าง BIGBANG, SHINee, Girls’ Generation ฯลฯ นี่ตามหมด ฟังเพลง ดูเอ็มวี แกะท่าเต้น ถึงขนาดเคยลงประกวดเต้นคัฟเวอร์ด้วยนะ แล้วก็ตามไปดูรายการที่เขาออก ติดตามบทสัมภาษณ์ ยิ่งติดตามก็ยิ่งชอบ เพราะนอกจากเพลง เราได้เห็นถึงความตั้งใจของศิลปินทุกคน ที่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เขาต้องฝึกซ้อมกันหนักมาก ทุกอย่างที่เขาแสดงออก ทั้งท่าเต้น สีผม การแต่งตัว แฟชั่น ผ่านการคิดมาหมดแล้ว

 

เคยเป็น ‘ติ่ง’ ศิลปินคนไหนแบบสุดๆ บ้างหรือเปล่า

แทยังของ BIGBANG ค่ะ ชอบมาก สมัยนั้นจะมีคนมาขายรูป การ์ด เข็มกลัดของศิลปินเกาหลี ก็ต้องไปยืนรุมแล้วซื้อเก็บเอาไว้ แต่ไม่ได้เยอะมากนะ แต่ก็ถือว่าพอมีอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ)

 

พออายุมากขึ้น บวกกับได้ทำงานเป็นนักแสดงจริงๆ ความสนุกในการดูซีรีส์แบบเดิมเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม

ความสนุกยังเหมือนเดิม ดูแล้วก็ยังฟิน ยังเชียร์ให้พระเอกกับนางเอกลงเอยกันด้วยดีเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ เรามองเห็นมุมมองบางอย่างเพิ่มมากขึ้น จากที่ดูนักแสดงแล้วชอบที่เขาหล่อ สวย น่ารัก ก็มองไปถึงว่าทำไมเขาถึงแสดงบทบาทได้เข้าถึงอารมณ์มากขนาดนี้ เริ่มวิเคราะห์ออกมาได้ว่ามันมีองค์ประกอบอื่นๆ ทั้งเพลงประกอบที่เมื่อก่อนไม่เคยสนใจ แต่มีผลกับการเพิ่มอารมณ์ให้แต่ละฉากได้ดีมาก มองไปถึงเรื่องบทละครที่สมเหตุสมผล ทุกตัวละครเขาสร้างมาให้เป็นมนุษย์จริงๆ อาจจะยกเว้นพระรองที่แสนดีไว้หน่อยนะ (หัวเราะ) แต่ที่ชอบคือเราจะไม่ได้เห็นตัวร้ายทาปากแดงมากรี๊ดๆๆๆ แล้วบอกว่าฉันจะตบแก ฉันจะฆ่าแกอย่างเดียว ตัวร้ายของเขาจะร้ายแบบลึกมาก ไม่แสดงออกแต่น่ากลัวสุดๆ

 

 

ทั้งในฐานะคนดูและฐานะนักแสดง เอสเธอร์มองว่าความน่าสนใจของเรื่อง My Girl 18 มงกุฎสุดที่รัก คืออะไร เพราะถ้าพูดกันตามจริง ตัวเนื้อเรื่องแอบมีความใกล้เคียงกับคำว่าละครน้ำเน่าอยู่เหมือนกันนะ คือหลอกกัน ทะเลาะกัน แล้วสุดท้ายก็กลับมารักกันเหมือนเดิม

ต้องยอมรับก่อนนะว่าบางทีความน้ำเน่าก็มีข้อดีของมันอยู่ คือทำให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย จะคนประเทศไหน เพศอะไร อายุเท่าไรก็ดูได้ เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ใกล้เคียงกับตัวเรา อย่าง My Girl พล็อตอาจจะไม่ได้แหวกแนว แต่ความน่าสนใจจะอยู่ระหว่างทางในเรื่อง ทั้งการถ่ายทำ การตัดต่อ ตัวละครต่างๆ ที่เอสเธอร์คิดว่ามันน่าสนใจ และทำให้คนดูติดอยู่กับมันได้ไม่ยาก

 

อย่างตัวละครลินินก็เป็นนางเอกที่ชอบโกง เจ้าเล่ห์ กวนประสาท ถ้าเป็นนางเอกแบบเดิมก็จะมาแนว ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ได้ต้องการเงินจากคุณ แต่ลินินคือชัดเจนมากว่าอะไรก็ตามที่ได้เงินฉันทำหมด (หัวเราะ) เอสเธอร์เล่นละครมาประมาณ 7 ปี ก็ไม่เคยได้รับบทแบบนี้มาก่อน ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่มากเลยนะ ยิ่งพอเข้าฉากกับพระเอก (เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ) ที่แต่ละฉากเอะอะก็จะต่อรอง เอะอะก็จะขอเงิน ให้ไปหลอกใครยังไงก็ได้ แต่ขอให้ฉันได้เงินมาก่อน พระเอกก็มีปฏิเสธ มีกวน ไม่ได้แสนดีไปหมดทุกอย่าง รวมทั้งเหตุผลในการเป็นแบบนั้นของตัวละคร เหตุผลที่ยอมโกหกเพราะความจำเป็นในการช่วยเหลือคนอื่น ทั้งหมดมันทำให้ตัวละครทั้งหมดมีความกลม มีความเป็นคนจริงๆ ที่ดูแล้วอาจจะนึกถึงเพื่อน หรือนึกถึงคนใกล้ตัวขึ้นมาได้เลย

 

เมื่อก่อนเอสเธอร์เคยนิยามคำว่า ‘นางเอก’ ไว้อย่างไร แต่พอเวลาผ่านไปนิยามของคำนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

เมื่อก่อนคิดว่านางเอกคือคนที่มีบทเยอะ คือคนที่ได้เล่นคู่กับพระเอก ต้องมีความเป็นนางเอ๊กนางเอก ทาปากชมพู ผมสวย นั่งพับเพียบ เรียบร้อย เป็นกุลสตรี แสนดี ไม่สู้คน แล้วที่สำคัญต้องห้ามตบเด็ดขาด (หัวเราะ) แต่พอได้เข้ามาเป็นนักแสดงจริงๆ มันมีอะไรมากกว่านั้น เราได้เห็นนางเอกที่สู้คน แข็งแกร่ง มีเหตุผล มีอุดมการณ์หนักแน่น ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งในอาชีพนักแสดงที่ทำให้เราอยากออกไปจากแบบแผนเก่าๆ อยากรับบทบาทที่หลากหลายมากขึ้นไปเรื่อยๆ

 

อย่างเรื่องนี้เอสเธอร์ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากการรับบทเป็นลินิน ได้เห็นความทุกข์ยากของตัวละคร ต้องไปแต่งตัวเป็นตัวตลก เล่นมายากลเพื่อขโมยกระเป๋าเงินของพระเอก

 

เราได้เห็นมุมมองของการโกหกมากขึ้น ตามปกติเอสเธอร์เป็นคนไม่เชื่อในเรื่องการโกหกเลย และไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมทุกคนถึงต้องโกหก แต่เรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่า อ๋อ ไม่มีใครที่อยากโกหกหรอก การที่เขาโกหกเขาอาจจะมีความจำเป็นบางอย่าง แต่ในขณะเดียวกันก็ได้เห็นผลลัพธ์ของการโกหกมากขึ้น อย่างตัวนางเอกก็ต้องยอมโกหกแล้วสุดท้ายก็ต้องสูญเสียอะไรบางอย่างที่สำคัญกับตัวเอง คือทำให้เราเข้าใจการโกหกมากขึ้น แต่สุดท้ายถ้าเลือกได้ก็คงเลือกที่จะโกหกอยู่ดี ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม

 

ที่ชัดเจนที่สุดคงเป็นเรื่องการทำงาน ที่เอสเธอร์จะไม่โกหกความรู้สึกของตัวเองเด็ดขาด เช่น เวลาเจอบทที่ขัดกับความรู้สึกของเรา รู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล เราจะขอคุยกับผู้กำกับเลยนะว่าทำไมตัวละครนี้ถึงเลือกที่จะทำหรือพูดแบบนี้ ซึ่งเอสเธอร์โชคดีที่ได้เจอแต่ผู้กำกับผู้ใหญ่ที่น่ารัก รับฟังความคิดเห็นของเราแล้วช่วยกันหาจุดตรงกลางร่วมกัน ผลลัพธ์เลยออกมาดีแทบทุกครั้งที่เรากล้าคุยกับเขาตรงๆ

 

 

เรื่องไหนที่ทำให้คนตรงๆ อย่างเอสเธอร์ต้องยอมโกหกได้บ่อยที่สุด

นานมากแล้วนะ ตั้งแต่สมัยเด็กๆ เลย เต็มที่ก็คือโกหกแม่ว่าจะไปเที่ยวที่หนึ่ง แต่จริงๆ แล้วเราจะไปอีกที่หนึ่ง มันเป็นการโกหกในช่วงที่มีวุฒิภาวะมากพอ เราคิดว่าทำแบบนั้นแล้วสบายใจ แต่จริงๆ แล้วไม่เลย กลายเป็นว่าเราต้องมากังวลว่าจะโดนจับได้หรือเปล่า พอโตขึ้นก็เลยเลือกที่จะพูดความจริง แล้วมันสบายใจทั้งฝ่ายแบบจริงๆ แม่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรา และเราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนจับได้ หลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องโกหกแล้วนะ

 

ถ้าเจอคนโกหก เอสเธอร์จะสามารถให้อภัยกับคำโกหกนั้นได้แค่ไหน

เราจะถามเขาก่อนว่าทำไมถึงต้องโกหก แล้วก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความร้ายแรงด้วยนะ อันนี้พูดยาก แล้วก็ขึ้นอยู่กับคนที่โกหกเราด้วย ถ้าเป็นเพื่อนเราอาจจะผิดหวังเพราะเราเป็นคนที่จริงใจมากๆ ทำไมถึงต้องโกหกเรา แต่ถ้าเป็นแฟนมาโกหก ก็อาจจะผิดหวังมากขึ้นไปอีก เพราะสำหรับเอสเธอร์การโกหกนี่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อันดับต้นๆ ของคนรักกันเลยนะ

 

เคยโกหกแฟนไหม

ไม่เคยค่ะ ไม่ใช่แค่แฟนด้วยนะ กับคนอื่นๆ ด้วย ถ้าไม่นับโกหกแม่ตอนเด็ก หลังจากนั้นเราไม่เคยโกหกใครอีกเลย ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ นะ (หัวเราะ)

 

ถ้าอยู่ในสถานการณ์แบบในเรื่อง My Girl ที่ต้องโกหกเพราะความจำเป็นมากๆ เอสเธอร์จะเลือกที่จะโกหกแบบนั้นหรือเปล่า

ถ้าสถานการณ์ในเรื่อง เราโกหกคุณปู่ของพระเอกเพื่อให้เขาสบายใจ เขาไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องกับเรา แต่เรามีเป้าหมายที่ต้องเอาเงินมาช่วยเหลือคุณพ่อซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากๆ คงยอมทำ แต่ถ้าเราต้องโกหกคนใกล้ตัวของเราจริงๆ เอสเธอร์คงเลือกพูดความจริงมากกว่า เพราะสุดท้ายในเรื่องมันจะมีบอกผลลัพธ์ของการโกหกของทุกคนทั้งหมดเลยนะ การโกหกไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มันจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดมากๆ เสมอ ถ้าเป็นไปได้เราไม่อยากให้มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น

 

ถ้าบอกอะไรสักอย่างกับตัวละครลินินได้ อยากพูดอะไรกับตัวละครนี้

อย่าไปรักพระเอกเลย (หัวเราะ) ถ้าไม่รักพระเอกก็ไม่ต้องโกหก ไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น ชีวิตของลินินน่าจะแฮปปี้กว่านี้เยอะ

 

ตัวอย่างซีรีส์เรื่อง My Girl

FYI
  • ติดตามชมซีรีส์ My Girl 18 มงกุฎสุดที่รัก ได้ทุกวันจันทร์และอังคาร เวลา 22.00 น. ทางช่อง True4U 24 และดูย้อนหลังแบบออนไลน์ได้ทางแอปพลิเคชัน TrueID
  • My Girl 18 มงกุฎสุดที่รัก ถูกซื้อลิขสิทธ์มาจากซีรีส์เกาหลีที่รู้จักกันในชื่อ My Girl รักหมดใจ ยัยกะล่อน นำแสดงโดยคู่พระนางสุดฮอตอย่างอีดงอุคและอีดาเฮ
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X