×

สิ้นสุดการเดินทางของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ด้วยการพาแมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาที่เดิม

21.11.2021
  • LOADING...
โอเล กุนนาร์ โซลชาร์

HIGHLIGHTS

  • การแพ้วัตฟอร์ดในเกมล่าสุดคือฟางเส้นสุดท้ายที่บอร์ดบริหารแมนฯ ยูไนเต็ด ตัดสินใจที่จะปลด โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ พ้นจากตำแหน่งผู้จัดการทีม หลังพยายามยื้อกันมาเป็นระยะเวลาเดือนเศษ
  • ปัญหาหลังจากที่ได้ คริสเตียโน โรนัลโด มาคือ โจทย์คราวนี้ยากเกินไปสำหรับโซลชาร์ เขาและทีมงานไม่สามารถหาทางออกให้กับทีมได้ ทำให้ผลงานของแมนฯ ยูไนเต็ด ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ปัญหาเกิดขึ้นทุกจุด และทำลายทุกอย่างจนไม่มีเหลือ
  • การตัดสินใจของฝ่ายบริหารในโอลด์แทรฟฟอร์ดเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าเคลือบแคลงสงสัย โดยเฉพาะในเรื่องของ ‘วิสัยทัศน์’ รวมถึง ‘เป้าหมาย’ ว่าตกลงแล้วพวกเขาต้องการจะเป็นสโมสรอันดับหนึ่งในวงการอีกครั้ง หรือพอใจแล้วกับการกอบโกยรายได้จากสปอนเซอร์และแฟนบอล
  • ในตลาดลูกหนังเวลานี้ โค้ชฝีมือดีที่ยังไม่มีเจ้าของนั้นเหลือไม่มาก และตัวเลือกที่มีอยู่นั้นไม่มีใครตอบได้ว่าดีพอและพอดีสำหรับสโมสรที่มีความพิเศษอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด หรือไม่ และจะมีใครอยากรับงานที่เดือดเหมือนเผือกร้อนหรือเปล่า

ในที่สุดการเดินทางของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ กับทีมรักของเขา แมนเชสเตอร์​ ยูไนเต็ด ก็กำลังจะสิ้นสุดลง

 

จากกระแสข่าวในช่วงคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาจนถึงช่วงเช้าของวันอาทิตย์ (21 พฤศจิกายน) ทิศทางค่อนข้างชัดเจนและไปในทิศทางเดียวกันว่า บอร์ดบริหารของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตัดสินใจที่จะปลดผู้จัดการทีมชาวนอร์เวย์พ้นจากตำแหน่ง หลังโดนวัตฟอร์ดถล่มย่อยยับ 4-1 ตอกย้ำสถานการณ์ที่วิกฤตอยู่เดิมให้หนักขึ้นไปอีก

 

การตัดสินใจดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ เพราะนี่คือสถานการณ์วิกฤตที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ และสิ่งแรกที่จำเป็นต้องทำก่อนคือ การตัดสิ่งที่กำลังเป็นปัญหาอย่างโซลชาร์ออกไปเป็นลำดับแรก

 

แม้ว่าจะยังมองไม่เห็นทางข้างหน้าด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะเดินไปในทิศทางใดหรือจะหาใครเข้ามาเป็นการทดแทน

 

ความจริงบอร์ดบริหารของแมนฯ ยูไนเต็ด ที่นำโดย เอ็ด วูดเวิร์ด, ริชาร์ด อาร์โนลด์ส รวมถึงเสียงของปูชนียบุคคลของสโมสรอย่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คิดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพียงแต่มีเหตุผลที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าตัดสินใจ

 

ประการแรก สโมสรเพิ่งจะต่อสัญญาใหม่ให้โซลชาร์ไปเมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาในสัญญาระยะเวลา 3 ปี ซึ่งโดยปกติแล้วสิ่งที่สโมสรควรทำคือ การให้การสนับสนุนกัน และพวกเขาก็พยายามจะทำเช่นนั้นอยู่

 

ประการต่อมาคือ ในตลาดลูกหนังเวลานี้ โค้ชฝีมือดีที่ยังไม่มีเจ้าของนั้นเหลือไม่มาก และตัวเลือกที่มีอยู่นั้นไม่มีใครตอบได้ว่าดีพอและพอดีสำหรับสโมสรที่มีความพิเศษอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด หรือไม่

 

และดูเหมือนจะไม่มีความมั่นใจด้วยว่า หากติดต่อทาบทามไปแล้วจะมีใครอยากรับงานที่เดือดเหมือนเผือกร้อนหรือเปล่า เพราะดูเหมือนปัญหาของแมนฯ ยูไนเต็ด ในเวลานี้ไม่ต่างอะไรจากการแกะปมไหมพรม ต้องใช้เวลาในการคลายและค่อยๆ แกะไป

 

ประการสุดท้ายคือ พวกเขายังอยากเชื่อว่า โซลชาร์จะสามารถพาทีมพลิกสถานการณ์กลับมาได้ เหมือนหลายครั้งก่อนหน้านี้ที่หากพบเจอกับช่วงที่ทำผลงานได้เลวร้าย สักพักทีมก็จะค้นพบหนทางใหม่ และกลับมาทำไ้ด้ดีกว่าเดิมเสมอ

 

โดยเฉพาะคนที่รักโซลชาร์เหมือนลูกอย่าง ‘เฟอร์กี’ ที่อยากให้ลูกศิษย์เก่าเป็นคนพาสโมสรกลับมาประสบความสำเร็จให้ได้ เพราะถ้าทำได้ มันคือเรื่องโรแมนติกลูกหนังชั้นเลิศ และตัวเขาเองก็เชื่อในเรื่องของการให้โอกาส เพราะกว่าจะประสบความสำเร็จได้ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เคยเกือบปลดผู้จัดการทีมที่ชื่อ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เหมือนกัน

 

นอกจากเรื่องของความรู้สึกแล้ว สิ่งที่บอร์ดบริหารยึดเป็นสรณะคือเรื่องของสถิติ เพราะหากมองไปยังผลงานในภาพรวมแล้ว 2 ฤดูกาลที่โซลชาร์ได้ทำทีมเต็มที่ (2019/20 และ 2020/21) แมนฯ ยูไนเต็ด ดีขึ้นตามลำดับ จากอันดับ 3 มาสู่อันดับ 2 และถึงจะพลาดแชมป์ยูโรปาลีก อย่างน้อยนี่คือการเข้าชิงฯ ครั้งแรกในหลายปี

 

เหนือกว่าที่ 2 ก็เหลือแค่อันดับเดียวคือที่ 1

 

แต่เพราะฟุตบอลไม่ใช่บัญญัติไตรยางค์ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว การตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งหนึ่งอาจหมายถึงทุกสิ่งดีๆ ที่สร้างมาพังทลายได้อย่างง่ายดาย

 

สิ่งที่ถูกพูดถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ การตัดสินใจของฝ่ายบริหาร (และแน่นอนว่าเราเลี่ยงจะไม่พูดถึงเฟอร์กีไม่ได้) ที่ใช้ความรู้สึกนำในการตัดสินใจปาดหน้า ‘เพื่อนบ้านที่น่ารำคาญ’ อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปคว้าตัวเอา คริสเตียโน โรนัลโด กลับมาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในแผนการเดิมของสโมสร

 

การกลับมาของ ‘CR7’ เริ่มต้นเหมือนความฝัน ก่อนที่จะพบความจริงในเวลาต่อมาว่า การมีนักเตะอย่างเขาอยู่ในสนามนั้นมีราคาที่ต้องจ่ายมากกว่าแค่เงินมหาศาลในแต่ละสัปดาห์ เพราะมันหมายถึงการที่ทีมจำเป็นต้องปรับตัวอย่างมากด้วย เนื่องจากด้วยวัยและสไตล์แล้ว จะให้โรนัลโดวิ่งไล่กวดเพรสซิงเหมือนกองหน้าสมัยใหม่นั้นเป็นไปไม่ได้

 

ระบบแบบหลวมๆ ที่โซลชาร์คิดและถือว่าทำได้ดีระดับหนึ่งตั้งแต่ช่วงฤดูกาลที่แล้วนั้นไม่รองรับกับโรนัลโด ซึ่งกลายเป็นโดมิโนตัวแรกที่ทำให้ทีมค่อยๆ ล้มลง

 

ปัญหาคือ โจทย์คราวนี้ยากเกินไปสำหรับโซลชาร์ เขาและทีมงานไม่สามารถหาทางออกให้กับทีมได้ ทำให้หลังพ้น ‘ช่วงน้ำผึ้งพระจันทร์’ (ซึ่งสั้นเหลือเกิน) ผลงานของแมนฯ ยูไนเต็ด ก็ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ปัญหาเกิดขึ้นทุกจุด และทำลายทุกอย่างจนไม่มีเหลือ

 

แน่นอนว่าโซลชาร์คือคนที่ต้องรับผิดชอบในฐานะผู้จัดการทีม ซึ่งตามหน้าที่แล้วคือการจัดการทีมให้ทำผลงานดีที่สุด

 

โอเล กุนนาร์ โซลชาร์

โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ในวันแรกที่ได้กลับมาคุมทีมลงเล่นที่โอลด์แทรฟฟอร์ด

 

ถ้าถามความเห็นส่วนตัวของผมเอง ผมก็คิดว่าโซลชาร์พยายามอย่างดีที่สุดแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

 

เพราะในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่เคยอยู่ในสารบบของแคนดิเดตที่จะได้คุมทีมด้วยซ้ำ เพียงแต่ในสถานการณ์คับขัน ในช่วงที่ทีมเต็มไปด้วย ‘หมอกพิษของ โชเซ มูรินโญ’ อดีตศูนย์หน้าฮีโร่ซูเปอร์ซับตลอดกาล ได้รับการไหว้วานให้กลับมาช่วยทีมก่อน

 

และความจริงระยะเวลาในการทำหน้าที่ของโซลชาร์ถูกคาดหมายว่าจะอยู่เพียงแค่สิ้นสุดฤดูกาล 2018/19 เพื่อรอ เมาริซิโอ โปเชตติโน คนที่เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งในตำแหน่งผู้จัดการทีม

 

โชคร้ายในความโชคดี ผลงานของโซลชาร์กับทีมดีขึ้นแบบมหัศจรรย์ จากทีมที่เล่นเหมือนคนซังกะตาย จู่ๆ นักเตะก็กลับมาฮึดวิ่งไล่เป็นม้าคะนองศึก เล่นฟุตบอลเกมรุกดุดันเร้าใจ เกมสวนกลับเฉียบขาด ราวกับเราได้เห็นแมนฯ ยูไนเต็ด ในวันวานที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นผู้นำทัพอยู่

 

United Way กลายเป็นเข็มทิศนำทาง และ Ole’s At The Wheel กลายเป็นเพลงฮิต

 

สถานการณ์พาไปถึงขั้นการบุกไปเอาชนะปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในศึกแชมเปียนส์ลีก ทำให้บอร์ดบริหารแมนฯ ยูไนเต็ด ตัดสินใจมอบสัญญาในการเป็นผู้จัดการทีมเต็มตัวให้แก่เขา พับแผนในการดึงโปเชตติโนที่รอจังหวะอยู่

 

เรื่องน่าตลกร้ายคือ หลังได้สัญญาเต็ม ผลงานของโซลชาร์ก็ค่อยๆ ตกต่ำลงจนทีมเผชิญสถานการณ์วิกฤตอีกครั้ง ถึงขั้นแฟนบอลเริ่มขับไล่เขาและเจ้าของสโมสรในช่วงหลังจากที่แพ้เบิร์นลีย์เมื่อต้นปี 2020

 

ก่อนที่ บรูโน แฟร์นันด์ส จะถูกดึงตัวมาจากสปอร์ติง ลิสบอน และเปลี่ยนบรรยากาศในทีมได้อย่างน่ามหัศจรรย์อีกครั้ง

 

ในวันเวลาที่ดีที่สุด พวกเขาเอาชนะลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ สองสโมสรที่ว่ากันว่าแกร่งที่สุดในช่วงที่ผ่านมาได้ไม่ยาก และเราคาดหวังถึงช็อตการเล่นปาฏิหาริย์ของกองกลางชาวโปรตุกีสที่ชวนให้คิดถึง เอริก ‘The King’ คันโตนา อดีตศูนย์หน้าผู้พกพาเครื่องสร้างความมหัศจรรย์ลงสนามในยุค 90

 

จนถึงปลายฤดูกาลที่แล้ว 4 ประสาน เอดินสัน คาวานี, บรูโน แฟร์นันด์ส, พอล ป็อกบา และ เมสัน กรีนวูด กลมกล่อมและเก็บชัยชนะให้ทีมได้เป็นว่าเล่น

 

จะ “ปลุกปีศาจต้องใช้ปีศาจ” แฟนยูไนเต็ดหลายคนว่าไว้

 

หากเปรียบเป็นเส้นทางแล้ว ยูไนเต็ดเดินทางมาไกลจนเกือบเห็นเส้นชัย พอจะกะระยะได้แล้วว่าพวกเขาต้องก้าวเดินอีกแค่ไหนจึงจะไปถึงจุดหมาย หากจะขาดก็ขาดไม่กี่อย่าง

 

เป็นอีกครั้งที่สถานการณ์ทำให้บอร์ดบริหารไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการต่อสัญญาใหม่ให้แก่โซลชาร์ เพื่อให้บรรยากาศในทีมสงบและเดินหน้าต่อไป พร้อมสนับสนุนด้วยนักเตะมีชื่อชั้นอย่าง จาดอน ซานโช, ราฟาเอล วาราน และโรนัลโด

 

ปัญหาคือ 2 ใน 3 คนนี้เป็นการซื้อมาทับซ้อนกัน ตำแหน่งของซานโชมีกรีนวูดที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน หรืออาจจะดีกว่า ขณะที่โรนัลโดเข้ามาทำให้คาวานี ศูนย์หน้าที่ช่วยให้แดนหน้าของทีมมีชีวิตชีวา ต้องกลายเป็นตัวสำรองอดทน (รวมถึงการเสียสละหมายเลขเสื้อให้)

 

มองอย่างเข้าใจและมองในแง่ดีที่สุด บอร์ดบริหารนั้น ‘หวังดี’ แต่ดูเหมือนจะกลายเป็น ‘ประสงค์ร้าย’

 

แต่หากมองอย่างเป็นธรรมแล้ว การตัดสินใจของฝ่ายบริหารในโอลด์แทรฟฟอร์ดเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าเคลือบแคลงสงสัย โดยเฉพาะในเรื่องของ ‘วิสัยทัศน์’ รวมถึง ‘เป้าหมาย’ ว่าตกลงแล้วพวกเขาต้องการจะเป็นสโมสรอันดับหนึ่งในวงการอีกครั้ง หรือพอใจแล้วกับการกอบโกยรายได้จากสปอนเซอร์และแฟนบอล (โรนัลโดและซานโช…)

 

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ งานนั้นยากและเริ่มเกินความสามารถของโซลชาร์อย่างชัดเจน ในสถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ จากเสียงโห่ร้องของแฟนบอล สู่การที่ลูกทีมเริ่มตั้งข้อสงสัยในตัวของเจ้านายว่ามีความรู้ความสามารถจริงหรือไม่

 

เพราะเกมฟุตบอลสมัยใหม่ เพียงความรักหรือความรู้สึกดีนั้นไม่พออีกต่อไปแล้ว

 

อดีตผู้จัดการผู้ล้มเหลวกับคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ และประสบความสำเร็จกับโมลด์ ในลีกบ้านเกิดที่นอร์เวย์ ทำได้ดีในการพาทีมมาได้ไกล แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็พบว่าไม่มีทางให้เขาได้ไปต่ออีกแล้ว

 

จากแพ้ลิเวอร์พูลเละเทะคาโอลด์แทรฟฟอร์ด โดนแมนฯ ซิตี้ สอนบอลในโรงละครแห่งความฝัน จนถึงการโดนทีมหนีตกชั้นอย่างวัตฟอร์ดไล่ต้อนสนุกเท้า

 

การเดินทางของคนขับรถที่ชื่อโอเลบน Road Trip ที่มีทั้งช่วงเวลาที่สุขที่สุดและระทมทุกข์เหลือแสนจึงเดินทางมาถึงป้ายสุดท้าย

 

น่าเศร้าที่พวกเขาพบความจริงที่ว่า เกือบ 3 ปีที่ผ่านมา ปลายทางนั้นกลับวนมาอยู่ที่เก่า

 

แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาเป็นทีมที่เต็มไปด้วยปัญหา มากด้วยความสงสัย ไร้วิสัยทัศน์และแนวทาง ซึ่งโซลชาร์ก็มีส่วนผิด แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และบางทีบอร์ดบริหารควรที่จะพิจารณาตัวเองด้วย หากคิดว่ารักสโมสรเท่ากับที่ ‘โอเล’ รัก หรืออย่างน้อยก็ควรตั้งใจและตัดสินใจให้ดีขึ้น เลือกในสิ่งที่ถูก เด็ดขาดในเวลาที่ต้องเด็ดขาด เพราะได้เห็นแล้วว่า เมื่อตัดสินใจพลาดครั้งหนึ่ง ผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมาสามารถสร้างความเสียหายได้มากขนาดไหน

 

สำหรับโซลชาร์ มันอาจเป็นเรื่องน่าเศร้าที่สุดท้ายความรักของเขาไม่พอที่จะพาทีมกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

 

แต่อย่างน้อยคนที่จะเข้ามาเป็นผู้นำทางต่อจากเขาก็ยังได้รถใหม่ในสภาพที่ดีกว่าเดิม และอย่างน้อยที่สุดคือ ครั้งหนึ่งในชีวิตเขาก็มีโอกาสได้รับหน้าที่ที่ไม่เคยคิดฝันมาแล้ว

 

หลังจากนี้เขาจะได้กลับไปทำหน้าที่เก่าที่ถนัดมากกว่า และจะไม่มีใครกล้าจะว่าอะไรเขาได้

 

คือการกลับไปเป็นแฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด ที่รักสโมสรจนหมดหัวใจ และรอวันที่ ‘ปีศาจแดง’ จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

 

FYI
  • ขณะที่ The Times รายงานว่า ซีเนดีน ซีดาน คือตัวเลือกแรก The Athletic ก็เชื่อว่า ซีดานไม่ใช่ตัวเลือกแรกแต่อย่างใด ส่วน Manchester Evening News สื่อท้องถิ่นปักธงว่า เบรนแดน ร็อดเจอร์ส คือตัวเต็งที่จะรับงานต่อจากโซลชาร์
  • เอริก เทน ฮาก จากอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ส่วน เมาริซิโอ โปเชตติโน โอกาสที่จะทิ้งปารีส แซงต์ แชร์กแมง มีความเป็นไปได้น้อยมากในเวลานี้
  • ตามรายงานข่าวแล้ว ดาร์เรน เฟลตเชอร์ และ ไมเคิล คาร์ริก จะรับหน้าที่คุมทีมเป็นการชั่วคราว
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising