หลังจากที่มีค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่บางค่ายประกาศแนวทางอย่างชัดเจนในการก้าวเข้าสู่ยุคของรถยนต์พลังไฟฟ้า และเริ่มเปิดตัวรถยนต์พลังไฟฟ้ามาตั้งแต่หลายปีที่แล้ว เช่น Nissan Leaf ในปี 2010 หรือ BMW i3 ในปี 2013 แต่ค่ายรถยนต์จำนวนมากก็ยังไม่ประกาศแนวทางนี้อย่างชัดเจน ซึ่งในกรณีนี้อาจทำให้ผู้ใช้รถยนต์ส่วนใหญ่สงสัย และลังเลว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมาแทนที่รถยนต์ใช้น้ำมันได้จริงหรือไม่
ในขณะที่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าน้องใหม่อย่าง Tesla ได้ซุ่มพัฒนาและเปิดตัวรถยนต์พลังไฟฟ้ามาถึง 3 รุ่นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ Tesla Roadster (ปี 2008) Tesla Model S (ปี 2013) Tesla Model X (ปี 2015) ซึ่งทั้งสามรุ่นนี้ ถือว่าเป็นรถยนต์พลังไฟฟ้าที่มีราคาสูง บวกกับผลิตในจำนวนที่ไม่มากนัก คนส่วนใหญ่อาจเข้าถึงได้ยาก แต่แผนของ Tesla จริงๆ อยู่ที่รุ่น Model 3 ที่มีราคาย่อมเยาและวางแผนผลิตในจำนวนมาก ซึ่งผลตอบรับก็เป็นไปตามคาด เพราะรถรุ่นนี้มียอดสั่งจองถล่มทลายในช่วงเปิดตัวในปี 2017 มากถึง 455,000 คัน นี่จึงกลายเป็นปัญหาอันหนักหน่วงของบริษัทรถยนต์น้องใหม่ในการรับมือเรื่องการผลิตรถยนต์ยนต์จำนวนมหาศาลให้ทันตามความต้องการของลูกค้า ก่อให้เกิดความล่าช้าในการส่งมอบรถ ส่วนลูกค้าก็มีทั้งยอมอดทนรอต่อไป และขอเงินมัดจำคืนในบางส่วน แต่ก็นับเป็นปรากฏการณ์ที่ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จะต้องหันมามอง และประมาทบริษัทรถยนต์น้องใหม่แห่งนี้ไม่ได้อีกต่อไป
Tesla Model 3 ตัวที่ทำให้บริษัทรถยนต์รายเล็กผงาดในวงการมอเตอร์
ถัดมาไม่นาน ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่หลายบริษัทประกาศแนวทางชัดเจนเรื่องรถยนต์พลังไฟฟ้า ด้วยการเปิดตัวรถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดจำนวนมาก เริ่มตั้งแต่ Porsche Taycan, Mercedes-Benz EQC, Audi e-tron และ Jaguar I-PACE ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า ต่อจากนี้ไป ชีวิตการใช้รถยนต์ของทุกคนบนโลกจะต้องเปลี่ยนไปสู่ยุคของรถยนต์พลังไฟฟ้าอย่างแน่นอน เราลองมาดูกันดีว่า ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จะเปิดตัวรถยนต์พลังไฟฟ้าแบบไหนออกสู่ตลาด เท่าที่ดูส่วนใหญ่เน้นมาทางรุ่น SUV หรู ออกแนวรถยนต์แบบอเนกประสงค์ เพราะอ้างอิงจากตลาดรวมของรถยนต์แนวนี้ที่ขายดีและสามารถทำกำไรได้สูงนั่นเอง
Mercedes-Benz EQC
ค่ายดาวสามแฉก เพิ่งเปิดตัวตระกูลรถยนต์พลังไฟฟ้าใหม่เมื่อเดือนกันยายน 2018 ที่ประเทศสวีเดนโดยใช้ชื่อว่า EQ (Electric Intelligence) ประเดิมรุ่นแรกด้วย Mercedes-Benz EQC 400 4MATIC รถยนต์พลังไฟฟ้าล้วนแบบ Compact Luxury SUV ตัวถังนั้นใช้โครงสร้างเดียวกับรุ่น GLC-Class ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่เพลาหน้าและหลังให้กำลังรวม 408 แรงม้า แรงบิด 765 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 5.1 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 80kWh สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากกำลังไฟ 10% เพิ่มเป็น 80% ได้ภายในเวลา 40 นาที เมื่อชาร์จเต็มจะวิ่งได้ไกล 450 กิโลเมตร แน่นอนว่าจะมีรุ่นอื่นๆ ในตระกูลนี้ตามออกมาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องภายใน 4 ปี ต่อจากนี้ (ปี 2022) ทางค่ายจะเปิดตัวรถในตระกูล EQ ให้ครบทั้งหมดถึง 9 รุ่นกันเลยทีเดียว
Audi e-tron
ค่าย Audi ก็ไม่ยอมน้อยหน้า เปิดตัวรถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นแรกเป็น Fully-Electric Mid-Size Luxury Crossover SUV ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับค่ายดาวสามแฉกราวกับนัดกันมา แถมยังเป็นรถ SUV หรูเหมือนกันอีกด้วย มิติตัวถังนั้นมีความใกล้เคียงกับรุ่น Q8 มากที่สุด และจัดให้มาเป็นคู่กัดของ Tesla Model X เจ้าตลาดของ SUV หรู พลังไฟฟ้าโดยตรง ซึ่งทาง Audi ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะทำราคาให้ย่อมเยากว่า จุดเด่นที่น่าสนใจของรถรุ่นนี้ก็คือกระจกมองข้างสุดล้ำยุค ถูกแทนที่ด้วยกล้อง โดยจะมีจอมอนิเตอร์ฝังไว้ที่มุมด้านบนของแผงประตูด้านในทั้งสองฝั่งอย่างกลมกลืน เรื่องขุมพลังนั้นใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวไว้ที่เพลา หน้า-หลังเพื่อขับเคลื่อนทั้ง 4 ล้อ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุ 95 kWh สามารถวิ่งได้ไกล 400 กิโลเมตร/การชาร์จไฟฟ้าเต็ม 1 ครั้ง และยังสามารถใช้เครื่องชาร์จแบบเร็วได้ภายในเวลาครึ่งหนึ่งของเครื่องชาร์จแบบปกติ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ภายใน 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง คาดว่ารถรุ่นนี้จะเริ่มส่งมอบได้ตั้งแต่ต้นปี 2019 เป็นต้นไป
Jaguar I-PACE
นับเป็นอีกค่ายรถยนต์จากเมืองผู้ดีอังกฤษ ที่ตัดสินใจพัฒนาเรื่องรถยนต์พลังไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยมีการเปิดตัวรุ่น I-PACE รถยนต์แบบ Compact Luxury Battery-Electric SUV 5 ประตู ชึ่งนับเป็นรถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นแรกของค่าย ออกแบบโดย Ian Callum นักออกแบบรถชื่อดังประจำค่ายนี้ ขุมพลังประกอบด้วยมอเตอร์ 2 ตัว ให้กำลังรวม 400 แรงม้า แรงบิด 696 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุ 90kWh สามารถวิ่งได้ไกล 470 กิโลเมตร/การชาร์จไฟฟ้าเต็ม 1 ครั้ง รถรุ่นนี้ถูกพัฒนาด้านเทคโนโลยีมาจาก Jaguar I-TYPE รถแข่งฟอร์มูลา E ของทางค่าย จึงไม่น่าแปลกใจที่อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้นสามารถทำได้ในเวลาเพียง 4.8 วินาทีเท่านั้น ส่วนความเร็วสูงสุดนั้นถูกจำกัดไว้ที่ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง แบตเตอรี่สามารถชาร์จเร็วสุด 0-80% ภายในเวลา 45 นาที (ด้วยเครื่องชาร์จ 100kW DC Rapid Chargers) ส่วนถ้าชาร์จแบบปกติด้วย AC Wall Box (7kW) ก็ต้องใช้เวลาถึง 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
