×

ถอดรหัสวิธีบริหาร เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ซีอีโออาแจกซ์ สโมสรที่มาแรงที่สุดในยุโรปชั่วโมงนี้

30.04.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • อาแจกซ์กลายเป็นทีมดาวรุ่งที่สามารถล้มแชมป์เก่าเรอัล มาดริด ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย และยูเวนตุสในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และกำลังจะลงสนามพบกับท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ในรอบรองชนะเลิศของศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
  • ฟาน เดอร์ ซาร์ นำเอาประสบการณ์ในสมัยที่เป็นนักเตะชุดแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 1995 มาปรับใช้กับอาแจกซ์ชุดปัจจุบัน และนำพาทีมสร้างความสำเร็จจนมีลุ้นแชมป์ถึง 3 รายการในเวลานี้

ค่ำคืนวันที่ 30 เมษายนนี้ ทีมอาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม จากเนเธอร์แลนด์ เตรียมบุกไปเยือนท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ที่สนามแห่งใหม่ที่พวกเขาเพิ่งก่อสร้างเสร็จ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบรองชนะเลิศเลกแรกนี้กลับไม่ใช่เทคโนโลยีสมัยใหม่ของสนาม

 

แต่เป็นคลื่นลูกใหม่ที่มาแรงจนซัดแชมป์เก่าที่ 3 สมัยล่าสุดตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ต่อด้วยการล้มยักษ์ใหญ่ยูเวนตุส แชมป์เซเรีย อา อิตาลี ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย จนเข้ามาพบเจอกับสเปอร์สที่เอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาได้ในรอบ 8 ทีม

 

จากความสำเร็จนี้ หลายฝ่ายมองเห็นตรงกันว่านี่คือความสำเร็จของการให้โอกาสนักเตะหน้าใหม่เข้ามามีบทบาท และการวางแผนการลงทุนกับเวลาอย่างเป็นระบบจากอาแจกซ์ สโมสรที่มีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ในเวทีระดับยุโรปที่เคยคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกมาแล้วเมื่อปี 1994-95

 

พร้อมกับการผลิตนักเตะชั้นนำของโลกทั้ง โยฮัน ครัฟฟ์, เอ็ดการ์ ดาวิดส์, แพทริก ไคลเวิร์ต, แฟรงก์ ไรจ์การ์ด, คลาเรนซ์​ ซีดอร์ฟ, มาร์โก ฟาน บาสเทน และเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ซึ่งวันนี้เขาได้กลับมารับบทบาทเป็นซีอีโอของสโมสร ซึ่งเป็นงานหนักที่สุดที่อดีตนักเตะของสโมสรผู้นี้ต้องพบเจอ เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงปลายฤดูกาลที่แล้ว

 

 

อาแจกซ์โมเดล กับการสานต่อความสำเร็จระหว่างยุคสมัย

ช่วงปลายฤดูกาล 2017-18 อนาคตของสโมสรอาแจกซ์กำลังถูกคุกคามจากสถานการณ์ที่หลายทีมที่ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่จาก 5 ลีกสูงสุดของยุโรปต้องพบเจอ นั่นคือนักเตะที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของทีม กำลังเริ่มมองหาหนทางสู่การเติบโตทางอาชีพนักเตะด้วยการย้ายไปสู่สโมสรที่ใหญ่กว่า

 

ฟาน เดอร์ ซาร์ และมาร์ค โอเวอร์มาร์ส ผู้อำนวยการสโมสร จึงต้องคิดแผนที่จะรักษานักเตะเหล่านี้ไว้กับสโมสรให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น อังเดร โอนานา, มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์, ดอนนี ฟาน เดอ บีค, แฟรงกี้ เดอ ยอง, จัสติน ไคลเวิร์ต, ดาวิด เนเรส และแคสเปอร์ ดอลเบิร์ก ถูกเรียกเข้ามารับชมวิดีโอที่ออกแบบมาสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ

 

โดยนักเตะดาวรุ่งแต่ละคนจะถูกเปรียบเทียบกับตำนานสโมสรในตำแหน่งที่พวกเขาลงเล่น ฟาน เดอร์ ซาร์ เชื่อว่านี่คือการสานต่อข้อความของสโมสรแห่งนี้ โดยมีข้อยกเว้นเพียงแค่ จัสติน ไคลเวิร์ต ที่อาจจะพยายามหาหนทางของตัวเอง

 

“เราบอกกับพวกเขาว่า ถ้าคุณอยากเป็นตำนานที่อาแจกซ์ คุณต้องคว้าแชมป์ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งในสายตาของผมเชื่อว่านี่เป็นแรงบันดาลใจที่ดี

 

“พวกเขามีความศรัทธาในสโมสร เราต้องคุยกับนักเตะเยาวชน และบอกว่ารอพวกเรา เชื่อมั่นในสโมสร เราเชื่อว่าเราจะมีทีมที่แข็งแกร่งและท้าทาย ซึ่งที่ผ่านมามันได้ช่วยสร้างปาฏิหาริย์ให้กับพวกเรา”

 

ซึ่งปาฏิหาริย์ดังกล่าวคือการเป็นทีมที่มีอายุเฉลี่ยน้อยที่สุดในรอบ 8 ทีม เอาชนะทีมที่มีอายุเฉลี่ยมากที่สุดในทีมอย่างยูเวนตุส และผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศมาได้สำเร็จแบบเหนือความคาดหมาย

 

 

ไอเดียการก่อสร้างความสำเร็จโดยมีนักเตะเยาวชนเป็นหัวใจคือสิ่งที่สโมสรอาแจกซ์ขึ้นชื่อมาโดยตลอด ซึ่งปรากฏการณ์ของอาแจกซ์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ เนื่องจากโลกปัจจุบันของฟุตบอลที่เต็มไปด้วยเงินทุนมหาศาลและการแข่งขันที่ดุเดือดจนสโมสรใหญ่แทบไม่มีเวลาให้โอกาสนักเตะเยาวชนในสโมสรได้พื้นที่แข่งขันในสนาม

 

ฟาน เดอร์ ซาร์ เชื่อว่าไอเดียนี้จะไม่สามารถใช้ได้ตลอดไป และเขาก็หวังว่ามันจะสามารถรักษามันไปให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

“มาร์คและผมเคยเป็นนักเตะมาก่อน ถึงจุดหนึ่งเราก็เคยอำลาสโมสรไปเพื่อหาความท้าทายใหม่ๆ และเรารู้ดีว่าสักวันหนึ่งมันจะเกิดขึ้น นั่นไม่ใช่ปัญหา ตราบใดที่เราให้เวลากับสโมสรและสร้างความสำเร็จอย่างน้อย 2, 3 หรือ 4 ปีกับสโมสร คว้าแชมป์ลีก เล่นฟุตบอลที่สนุกและตื่นเต้น และคุณจะสามารถมองหาความท้าทายใหม่ได้

 

“รวมถึงมันจะเป็นโอกาสสำหรับนักเตะเยาวชนจากอคาเดมีที่จะก้าวขึ้นสู่ทีมใหญ่ เพราะถ้าคุณไม่เปิดโอกาสให้กับนักเตะเยาวชน สุดท้ายสายพานการผลิตนักเตะของทีมจะหยุดชะงักลง”

 

คลื่นลูกใหม่ของอาแจกซ์มาในช่วงเวลาสำคัญของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลยูโร 2016 รอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1984 เช่นเดียวกับฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ที่ทีมชาติเนเธอร์แลนด์และอิตาลี สองชาติมหาอำนาจของฟุตบอลตกรอบคัดเลือก หมดสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันรอบสุดท้าย

 

ฟาน เดอร์ ซาร์ จึงเชื่อมั่นในการผลักดันการสร้างเยาวชนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่านักเตะจะมาจากเนเธอร์แลนด์หรือไม่ ซึ่งเขาได้กล่าวย้อนไปถึงศิษย์เก่าของทีมในยุค 70s จนถึงปัจจุบันที่เคยผ่านการสร้างรูปแบบนี้มาแล้ว

 

“พวกเขาคือคลื่นลูกก่อนๆ ที่เกิดขึ้นที่อาแจกซ์ ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับพวกเราที่เดินหน้าไปพร้อมกับคลื่นลูกนี้”

 

 

คุณค่าของกีฬาที่สำคัญกว่าเม็ดเงินลงทุน

สิ่งสำคัญที่สุดของการสร้างคลื่นลูกใหม่นี้ ฟาน เดอร์ ซาร์ เชื่อว่าเป็นการแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าความรักและความทุ่มเทที่มีต่อตัวกีฬาโดยตรงและแทบจะไม่โฟกัสด้านอื่นยังคงเป็นปัจจัยที่สามารถผลักดันสโมสรสู่ความสำเร็จได้

 

“ถ้าคุณมีความหลงรักในกีฬา ทุกคนจะรู้จักกับความยิ่งใหญ่ของเรอัล มาดริด ในช่วงปี 60s ต่อด้วยอาแจกซ์ในปี 70s ต่อด้วยบาเยิร์น มิวนิก และทีมอื่นๆ ต่อจากนั้น

 

“แต่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นหลายอย่างในวงการฟุตบอล โดยเฉพาะลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดและการโฆษณาต่างๆ

 

“สโมสรส่วนใหญ่หลงผิดไปกับมุมมองที่พวกเขามีต่อสโมสรฟุตบอล สำหรับเราที่อาแจกซ์ ทุกอย่างที่นี่เกี่ยวกับฟุตบอลเท่านั้น เรามีลิขสิทธิ์ทีวี ผู้สนับสนุน แต่เราเป็นประเทศที่มีประชาชนเพียงแค่ 8-9 ล้านคน ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับ 5 ลีกใหญ่ในยุโรปแล้ว เราเป็นเพียงแค่ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ”

 

 

บทเรียนจากอดีตและการนำประวัติศาสตร์มาเสริมสร้างอนาคต

ฟาน เดอร์ ซาร์ และโอเวอร์มาร์ส ต่างก็เป็นนักเตะอาแจกซ์ชุดแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเมื่อปี 1995 พวกเขาได้เลือกเอาบทเรียนจากทีมชุดนั้นมาช่วยก่อสร้างนักเตะชุดนี้โดยการตัดสินใจนำบทเรียนจากอดีตมาใช้ คือการนำเอานักเตะอาวุโสเข้ามาร่วมทีมทั้งหมด 2 คน ทั้งดาลีย์ บลินด์ และดูซาน ทาดิช ซึ่งพวกเขากลายเป็นกำลังสำคัญของทีมในทันที

 

“หากเราใช้เศรษฐศาสตร์ตัดสิน แน่นอน นี่เป็นไอเดียที่ไม่ดี เราอาจจะไม่สบายใจกับการทุ่มเงินซื้อนักเตะที่อายุมาก และเราคิดว่าจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ด้วยการมองไปที่นักเตะเยาวชน

 

“แต่เมื่อเรามองย้อนไปจากประสบการณ์ของเรา ในปี 1995 เรามีนักเตะเยาวชนเกือบทั้งทีมที่มีศักยภาพ ประกอบไปด้วย เอ็ดการ์ ดาวิดส์, คลาเรนซ์ ซีดอร์ฟ, โอเวอร์มาร์ส, แฟรงก์ และโรนัลด์ เดอ บัวร์, แพทริก ไคลเวิร์ต แต่ในขณะเดียวกันเราก็มีนักเตะอย่าง แฟรงก์ ไรจ์การ์ด และดาลีย์ บลินด์ ซึ่งผ่านประสบการณ์ลงเล่นในศึกฟุตบอลโลกและคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกมาแล้ว เรามองย้อนกลับไปสู่ความสำเร็จในปี 1995 เราจึงต้องการผสมนักเตะเยาวชนเข้ากับประสบการณ์”

 

 

หลักการของฟุตบอลที่สวยงามที่ เอริก เทน ฮาก ต้องสานต่อ

หลักการสำคัญอีกอย่างที่ ฟาน เดอร์ ซาร์ และโอเวอร์มาร์ส พูดคุยกับ เอริก เทน ฮาก กุนซือของอาแจกซ์ คือการเล่นฟุตบอลที่สวยงาม ในช่วงแรก เอริก เทน ฮาก ถูกวิจารณ์อย่างหนัก และถูกกำชับให้เขาเลือกเล่นฟุตบอลที่สะท้อนความเป็นอาแจกซ์ให้มากที่สุด ตัดการส่งบอลไปด้านข้างเพื่อสร้างความตื่นเต้นและสร้างสรรค์ในรูปแบบการเล่นมากขึ้น

 

“นี่คือข้อความที่ชัดเจนจากเรา เราก้าวไปข้างหน้ามากขึ้นสู่ระดับของฟุตบอลที่ไม่มีใครคาดหวังว่าจะได้เห็นมาก่อน”

 

สำหรับชีวิตหลังแขวนสตั๊ด เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เริ่มต้น 1 ปีก่อนที่จะตัดสินใจยุติเส้นทางอาชีพค้าแข้ง เขาได้รับโทรศัพท์จาก โยฮัน ครัฟฟ์ ต่อจาก เดนนิส เบิร์กแคมป์ ที่ได้รับเรียกเช่นกัน

 

พวกเขาต้องการปรึกษาอดีตนักเตะของอาแจกซ์ที่มีประสบการณ์แข่งขันสูงสุด พร้อมกับการคว้าแชมป์หลากหลายรายการ ทั้งจากยูเวนตุสและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึงการติดทีมชาติเนเธอร์แลนด์ทั้งหมด 130 ครั้ง และกำลังวางแผนเรียนต่อปริญญาโทด้านธุรกิจเกี่ยวกับกีฬา

 

“โยฮัน ครัฟฟ์ บอกผมว่าปกติจะเป็นนักธุรกิจหรือนักกฎหมายที่เข้าใจถึงระบบการเงิน การหารายได้ที่จะได้รับตำแหน่งผู้บริหารระดับซีอีโอ แต่เขาบอกว่าคุณมาจากมหาวิทยาลัยของวงการฟุตบอล มหาวิทยาลัยของชีวิต สิ่งที่นักเตะต้องเรียนรู้ทั้งความพ่ายแพ้ ความสำเร็จ ความกดดัน การคว้าชัยในรอบชิงฯ ความพ่ายแพ้ในรอบชิงฯ ความผิดพลาดในช่วงท้ายเกมนาทีที่ 89 การเซฟจังหวะสำคัญในนาทีที่ 91

 

“ผมกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารของวงการกีฬาหลังเกษียณจากการลงเล่น แต่มันเป็นความเสี่ยงที่ผมต้องทำ และมันเป็นความเสี่ยงที่อาแจกซ์ต้องเจอเช่นกัน”

 

สำหรับอนาคตของทีมชุดนี้ ฟาน เดอร์ ซาร์ ยังยืนยันว่าเขาไม่อยากให้ทีมแตกหลังจากฤดูกาลนี้จบลง

 

“ไอเดียของผมคือผมไม่ต้องการที่จะขายนักเตะ 7 คนจากทีมชุดนี้หลังจากฤดูกาลนี้ ผมอยากให้เราสามารถลงแข่งขันและก้าวขึ้นมาสู่ระดับนี้อีกครั้งในฤดูกาลต่อไป แต่ฤดูกาลนี้ยังไม่จบ เรายังคงมีเดือนที่สนุกและตื่นเต้นด้วยโอกาสการคว้าแชมป์ได้ถึง 3 รายการต่อจากนี้

 

สำหรับอาแจกซ์แล้ว ความสำเร็จในฤดูกาลนี้จากสิ่งที่ ฟาน เดอร์ ซาร์​ ได้กล่าวถึงในบทสัมภาษณ์กับ The Guardian นอกเหนือจากความลงตัวที่สโมสรได้เลือกนำเอาประวัติศาสตร์และบทเรียนของสโมสรมาประกอบเป็นไอเดียเก่าที่ใช้งานได้ในฟุตบอลยุคใหม่แล้ว

 

นักเตะชุดนี้บวกกับทีมงานของสโมสรซึ่งเป็นอดีตนักเตะชุดที่พาสโมสรประสบความสำเร็จมาแล้ว นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการผสมผสานความรู้ความสามารถของคนในยุคก่อนมาต่อยอดและส่งเสริมเยาวชนในยุคปัจจุบัน โดยมีหัวใจอยู่ที่ความภูมิใจในตราของสโมสรเป็นตัวเชื่อมโยง

 

ซึ่งโมเดลนี้จะนำพาพวกเขาสู่ความสำเร็จขนาดไหนในอนาคตยังคงต้องรอหาคำตอบหลังจากฤดูกาลนี้จบลง แต่สิ่งที่อดีตได้บ่งบอกหลายครั้งเกี่ยวกับทีมอาแจกซ์ หรือแม้กระทั่งทีมอย่างโมนาโกคือเมื่อฤดูกาลแห่งความสำเร็จของพวกเขาจบลง นักเตะเกือบทั้งทีมจะแยกย้ายไปตามหาความท้าทายและความสำเร็จใหม่กับสโมสรอื่นๆ แทบจะทันที ซึ่งหาก ฟาน เดอร์ ซาร์ สามารถหาหนทางรั้งตัวนักเตะเหล่านี้ไว้ได้เหมือนที่เขาบอกสัก 2-3 ฤดูกาล ก็จะเป็นอีกหนึ่งโมเดลที่น่าศึกษาและเรียนรู้ไม่แพ้กับการปั้นนักเตะเยาวชนใหม่ขึ้นสู่เส้นทางความสำเร็จของสโมสรเลยทีเดียว

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising