สถานการณ์การลงทุนปัจจุบัน นักลงทุนต่างกังวลต่อโอกาสเกิด ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ในสหรัฐอเมริกา หลังดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิถุนายนของสหรัฐฯ ออกมาสูงสุดในรอบ 40 ปี ที่ระดับ 9.1% ยิ่งเป็นแรงกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องหันมาเร่งดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวเพิ่มขึ้น ล่าสุดนักลงทุนมองว่า Fed มีโอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกรกฎาคมนี้อย่างน้อย 0.75% นำไปสู่ความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่สภาวะถดถอยภายใน 12 เดือนข้างหน้า ดังนั้นเราจึงขอยกกรณีศึกษาการเกิดเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในอดีต เพื่อให้สามารถเตรียมรับมือกับความเสี่ยงในแต่ละฉากทัศน์ (Scenarios) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
จากข้อมูล NBER (The National Bureau of Economic Research) พบว่า ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ปี 1945 สหรัฐฯ เกิดเศรษฐกิจถดถอยรวมทั้งสิ้น 13 ครั้ง กินระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 10 เดือน และ GDP หดตัวลงเฉลี่ย -4.4% แต่หากเจาะลึกในแต่ละครั้งที่เกิดเศรษฐกิจถดถอย จะเห็นว่าแต่ละครั้งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและราคาสินทรัพย์แตกต่างกันไป เราจึงแบ่งเป็น 3 ฉากทัศน์ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดังนี้
- Mild Recession: กรณีเศรษฐกิจถดถอยที่ไม่ได้รุนแรงมากนัก อาจเทียบเคียงกับอดีตช่วงปี 1990-1991 โดยครั้งนั้น GDP -1.4% ซึ่งถือว่าไม่รุนแรง และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอีก 13 ครั้งในอดีต ในขณะที่เงินเฟ้อของรอบดังกล่าวไปทำจุดสูงสุดที่ 6.3% ก่อนปรับตัวลงมา ในช่วงเวลานี้ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง -20% ก่อนค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นหลังเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไป ประเภทสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงเวลาดังกล่าว ได้แก่ น้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากอุปสงค์มิได้หดตัวรุนแรงมากนัก ขณะที่ธุรกิจที่สามารถทนความอ่อนไหวได้ดี ได้แก่ หุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่ม Defensive อย่าง Consumer Staple, Healthcare และ Utilities
- Stagflation: เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงกว่ากรณีแรก และเงินเฟ้อทรงตัวระดับสูงยาวนาน สามารถเทียบเคียงกับอดีตช่วงปี 1973-1982 ที่มีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อสูงต่อเนื่องยาวนาน โดยช่วงระยะเวลาเกือบ 10 ปีได้เกิดเศรษฐกิจถดถอยมากถึง 3 ครั้ง และ GDP หดตัวเฉลี่ยประมาณ 2-3% ขณะที่เงินเฟ้อไปทำจุดสูงสุดถึง 14.8% ก่อนที่จะปรับตัวลง ช่วงเวลาดังกล่าวดัชนี S&P 500 ผันผวนสูงมาก โดยปรับตัวลงมากที่สุดประมาณ -48% ในช่วงปี 1973-1974 ประเภทสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงเวลาเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลไม่สามารถใช้กระจายความเสี่ยงพอร์ตได้ดีเท่าไร
- Great Recession: เป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง ซึ่งมาจากวิกฤตการเงินลุกลามไปกระทบต่อเศรษฐกิจจริงในวงกว้าง สามารถเทียบเคียงกับอดีตช่วงปี 2008-2009 ที่ GDP หดตัวแรงถึง 5.1% ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงลึกกว่า 57% และในช่วงเวลาเดียวกันนี้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์รวมถึงน้ำมันหดตัวลงรุนแรง (น้ำมันดิบ -43% และ Bloomberg Commodity Index -40%) แต่ทองและพันธบัตรรัฐบาลสามารถปรับตัวบวกได้ ส่วนรายอุตสาหกรรม กลุ่ม Consumer Staple และ Healthcare สามารถทนทานกว่าตลาดในช่วงเวลาดังกล่าวได้
ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน ไม่ว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยกรณีไหนก็ตาม เราแนะนำให้ระมัดระวังต่อการลงทุนมากขึ้น เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง อย่างตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อรอโอกาสกลับเข้าไปทยอยลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้งเมื่อเราเห็นสัญญาณบวก เช่น กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ระยะสั้น พลัส (SCBSFFPLUS) ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น ตราสารหนี้ภาคสถาบันการเงิน และตราสารหนี้ภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ หรือกองทุนหุ้น แนะนำลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ทนทานไม่อิงตามวัฏจักรเศรษฐกิจมาก เช่น อุตสาหกรรม Healthcare ที่ในอดีตจะมีกำไรเติบโตสม่ำเสมอ ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยจำกัด อย่างเช่น กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นโกลบอลเฮลธ์แคร์ (SCBGHC) ซึ่งมีนโยบายลงทุนใน Janus Global Life Sciences Fund (กองทุนหลัก) บริหารโดย Janus Capital Management LLC เป็นต้น
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP