×

ข้อมูลดัชนี Economic Freedom ประจำปี 2023 ชี้ ‘ประเทศไทย’ เสี่ยงตกชั้นไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่ ‘มีเศรษฐกิจค่อนข้างไม่เสรี’

15.06.2023
  • LOADING...

ในทุกๆ วันพวกเราต่างออกไปทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง โดยจุดประสงค์ของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม การทำตามความฝันของตัวเอง การหาเลี้ยงชีพและครอบครัว แต่อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่น่าจะเป็นเป้าหมายของใครหลายคนทั่วโลกคือการนำมาซึ่ง ‘ความเจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่ง’ ของชีวิต อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศคือการเข้าถึงโอกาส และความเปิดกว้างเสรีในสิทธิที่คนของประเทศนั้นๆ สามารถเลือกทางเดินชีวิตของตนเองได้

 

ภาพรวมเสรีภาพทางเศรษฐกิจของโลกกำลังตกต่ำลง เสี่ยงกระทบคุณภาพชีวิต

ทุกปี The Heritage Foundation องค์กรที่ทำการวิจัยจัดทำข้อเสนอแนะและนโยบายต่างๆ ที่เน้นในเรื่องของเศรษฐกิจแบบเสรีให้กับสหรัฐอเมริกาและหลายประเทศทั่วโลก จะเก็บข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนีชี้วัดเสรีภาพทางเศรษฐกิจ (Economic Freedom Index) โดยดัชนีใช้ปัจจัยหลัก 4 อย่างคือ

  1. หลักนิติธรรม (Rule of Law) ประกอบด้วยสิทธิการครอบครองทรัพย์สิน ความสุจริตโปร่งใสของระบบยุติธรรม และความซื่อสัตย์ของภาครัฐ
  2. ขนาดของรัฐบาล (Government Size) ประกอบด้วยภาระภาษีที่คนในประเทศต้องแบกรับ การใช้จ่ายภาครัฐ และสุขภาพทางการคลัง
  3. ประสิทธิภาพของกฎหมายและการกำกับดูแล (Regulatory Efficiency) ประกอบด้วยอิสระในการประกอบธุรกิจ เสรีภาพของแรงงาน และเสรีภาพทางการเงินโดยมีสกุลเงินที่มั่นคง
  4. ความเปิดกว้างทางการค้า (Market Openness) ประกอบด้วยอิสระในการค้าขายทั้งในและต่างประเทศ อิสระในการลงทุน และการเข้าถึงบริการทางการเงินโดยรวม

 

ซึ่งในแต่ละปัจจัยหลักจะประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยย่อยที่รวมกันเป็น 12 เรื่องที่ถูกกระจายน้ำหนักในปริมาณเท่าๆ กัน และนำไปคำนวณเพื่อหาค่าเฉลี่ยออกมาเป็นคะแนนเสรีภาพทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ

 

โดยดัชนีจะมีช่วงคะแนน 0-100 และแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มหลักตามช่วงคะแนนดังนี้

  • 80+ เป็นกลุ่มที่มีเสรีภาพทางเศรษฐกิจสูงสุด (Free economies)
  • 70-79.9 เป็นกลุ่มที่มีเสรีภาพทางเศรษฐกิจมาก (Mostly free)
  • 60-69.9 มีเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเสรี (Moderately free)
  • 50-59.9 มีเศรษฐกิจที่ค่อนข้างไม่เสรี (Mostly unfree)
  • 0-49.9 มีเศรษฐกิจที่ถูกกดขี่และควบคุม (Repressed)

 

ความสำคัญของดัชนีตัวนี้คือ ประเทศที่ได้คะแนนเสรีภาพทางเศรษฐกิจสูงมักจะตามมาด้วยประชากรที่มีความมั่นคงทางการเงิน มีสุขภาพดี ทำให้มีช่วงชีวิตที่ยืนยาวกว่า และยังมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ใส่ใจกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นสถิติจากรายงานยังชี้ว่าประเทศที่ได้คะแนนดัชนีต่ำกว่า 60 มีปัญหาความยากจนของคนในประเทศถึง 31.2% ในขณะที่ถ้าประเทศมีคะแนนตั้งแต่ 60-79.9 อัตราความยากจนนั้นลดต่ำลงไปมากกว่า 3 เท่าที่ 8.1% กล่าวคือ กลุ่มประเทศที่มีเศรษฐกิจค่อนข้างเสรีจนถึงมากจะมีอัตราความยากจนแค่ประมาณ 1 ใน 4 ของประเทศที่มีเสรีภาพทางเศรษฐกิจต่ำ

 

 

 

ข้อมูลดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจ (Economic Freedom Index) แสดงให้เห็นว่าช่วงปี 2021-2022 มีการหักหัวลงของคะแนนสำหรับประเทศไทย ทำให้ช่องว่างของความมีเสรีภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยแคบลงและเข้าใกล้กับค่าเฉลี่ยโลกมากขึ้นในปี 2023

 

ประเทศไทยถือว่าอยู่ในลำดับกลางๆ ของเวทีโลก ที่อันดับ 80 จาก 184 ประเทศที่มีการจัดเก็บข้อมูล จากทั้งหมด 12 ปัจจัยย่อย ไทยยังคงต้องเสริมแกร่งความเชื่อมั่นในหลักนิติธรรม ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยย่อยคือ สิทธิการครอบครองทรัพย์สิน ความสุจริตโปร่งใสของระบบยุติธรรม และความซื่อสัตย์ของภาครัฐ ที่ทั้งสามยังเป็นจุดอ่อนเมื่อเทียบกับโลก ทำให้อิสระในการลงทุนในสายตานักลงทุนต่างประเทศอาจได้รับผลกระทบไปด้วยจากจุดอ่อนตรงนี้

 

 

อินไซต์ภาพรวมหลักทั่วโลกจากรายงานประจำปี 2023 คือหลายประเทศในโลกอยู่ในสถานะที่ ‘มีเศรษฐกิจที่ค่อนข้างไม่เสรี’ โดยคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 59.3 ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ ข้อมูลรายงานเผยว่ามีเพียงแค่ 4 ประเทศ/ดินแดน จาก 184 ประเทศในโลกที่สำรวจมีคะแนนอยู่ในสถานะกลุ่มประเทศที่ ‘มีเสรีภาพทางเศรษฐกิจสูงสุด’ ได้แก่ สิงคโปร์ (83.9) สวิตเซอร์แลนด์ (83.8) ไอร์แลนด์ (82.0) และไต้หวัน (80.7) ลดลงจากปีที่แล้วที่มีถึง 7 ประเทศในกลุ่มนี้ แสดงให้เห็นว่าเทรนด์เสรีภาพทางเศรษฐกิจทั่วโลกนั้นต่ำลง

 

‘หลักนิติธรรม’ 1 ใน 4 ปัจจัยฉุดรั้งคะแนนดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจของไทย

ประเทศไทยเราอยู่ในอันดับที่ 80 จาก 184 ประเทศ โดยได้คะแนนรวมอยู่ที่ 60.6 คะแนน ตกลงมาจากปีที่แล้วถึง 2.6 คะแนน ทำให้ในตอนนี้ถ้าหากไทยเสียคะแนนติดลบไปแค่ 0.7 จะทำให้เราหล่นไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่ ‘มีเศรษฐกิจที่ค่อนข้างไม่เสรี’ อย่างไรก็ตาม ไทยเราก็ยังมีคะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคเอเชียที่ 58.2 และของโลกที่ 59.3

 

จากรายงาน Economic Freedom Index 2023 สิ่งที่ประเทศไทยสามารถทำได้ดีพอสมควรหากประเมินจากมุมมองของความมีอิสระเชิงเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับภาพรวมทั่วโลกคือ เรื่องการใช้จ่ายที่รัฐบาลไทยมีสัดส่วนที่น้อยกว่าถึง 8.1% หมายความว่าบทบาทในการแทรกแซงของรัฐบาลยังอยู่ในระดับต่ำในเชิงเปรียบเทียบ ทำให้ภาคเอกชนยังสามารถมีอำนาจการตัดสินใจในธุรกิจมากกว่าบางประเทศ และการเก็บภาษีที่แม้ว่าอัตราภาษีบุคคลจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกไป 6.3% แต่อัตราภาษีธุรกิจของไทยนั้นต่ำกว่า ซึ่งอาจเป็นผลบวกกับภาคธุรกิจรวมไปถึงสภาพทางการคลังที่ยังดีอยู่ เนื่องจากหนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวม (Public Debt to GDP) ของไทยคือ 58.4% ในขณะที่โลกอยู่ที่ 67.7%

 

ในเรื่องของความมีประสิทธิภาพของกฎหมายและการกำกับดูแล ประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ที่พอๆ กับค่าเฉลี่ยโลก เช่น การทำธุรกิจที่ไม่ต้องมีทุนขั้นต่ำ เป็นหนึ่งในการส่งเสริมและเอื้อให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้ง่ายมากขึ้น อีกทั้งในฝั่งการเงินทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้มีการจัดการเงินเฟ้อและเสริมความมั่นคงให้กับสกุลเงินบาทท่ามกลางความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลกได้ค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับบางประเทศ

 

อีกปัจจัยหลักอย่างความเปิดกว้างทางการค้า ไทยทำได้ค่อนข้างดีกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ในมิติของการเข้าถึงบริการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพมากกว่าหลายประเทศ โดยคะแนนของไทยในเรื่องนี้อยู่ที่ 60 ขณะที่โลกได้คะแนนเพียง 48.8 แต่ยังมีเรื่องความคลุมเครือทางกฎเกณฑ์หรือนโยบายการลงทุนที่อาจทำให้ต่างชาติบางส่วนยังลังเลที่จะลงทุนในไทยอยู่ ถึงแม้เราจะพยายามสนับสนุนการลงทุนดังกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประเทศไทยยังทำได้ไม่ดีคือหลักนิติธรรม รายงานเผยว่ากระบวนการยุติธรรมโดยรวมของไทยนั้นยังอ่อนแอในทุกมิติ ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยย่อยคือ สิทธิการครอบครองทรัพย์สิน ความสุจริตโปร่งใสของระบบยุติธรรม และความซื่อสัตย์ของภาครัฐ ที่ทั้งหมดเรามีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก ถึงแม้คะแนนทั่วโลกจะต่ำในเรื่องของหลักนิติธรรม แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูงกว่าไทย หมายความว่าปัญหาเรื่องคอร์รัปชันและความโปร่งใสของภาครัฐยังเป็นประเด็นในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยด้วย

 

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X