ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ออกโรงเตือนว่า การเติบโตที่ซบเซาของเศรษฐกิจยูโรโซนกำลังคุกคามความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินที่เกิดจากการปรับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเพื่อจัดการกับเงินเฟ้อ
คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นในรายงาน Financial Stability Review ของ ECB ที่จัดทำขึ้นทุกๆ 2 ปี ซึ่งรายงานระบุว่า ขณะที่ผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอดีตของ ECB ยังคงดำเนินต่อไป รายได้ครัวเรือน รายได้ขององค์กร และการเงินสาธารณะอาจรู้สึกกดดันเพิ่มเติมหากเศรษฐกิจยังคงเติบโตอย่างน่าผิดหวัง
Luis de Guindos รองประธาน ECB กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอพร้อมกับผลที่ตามมาจากอัตราเงินเฟ้อสูงกำลังทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคประชาชน บริษัท และรัฐบาล ตกอยู่ในภาวะตึงเครียด และเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ ECB จะต้องระมัดระวัง ในขณะที่เศรษฐกิจเปลี่ยนไปสู่สภาพแวดล้อมที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ควบคู่ไปกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
ทั้งนี้ รายงานระบุว่า แนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจสำหรับกลุ่มประเทศยูโร 20 ประเทศแย่ลงในช่วงปลายปี และอาจเกิดภาวะถดถอยได้หลังจากผลผลิตหดตัว 0.1% ในไตรมาส 3 โดยรายงานคาดว่ากิจกรรมจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปีหน้า ในขณะที่ความเสี่ยงด้านลบ เช่น ผลกระทบที่ไม่แน่นอนของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และภูมิศาสตร์การเมือง มีอิทธิพลเหนือเมื่อผู้กำหนดนโยบายพบกันในเดือนตุลาคม
ถึงกระนั้นรายงานระบุว่า ตลาดการเงินในปัจจุบันก็คาดหวังว่า ‘Soft Landing’ ซึ่งอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับปานกลางโดยไม่กระทบต่อการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่หลักฐานทางประวัติศาสตร์เองก็ชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ดังกล่าวค่อนข้าง “ยาก-แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้-ที่จะบรรลุผลในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากขนาดของอัตราที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ” โดยรองประธาน ECB เสริมว่า ความประหลาดใจเชิงลบต่อความเสี่ยงการเติบโตเป็น “การแก้ไขที่ไม่เป็นระเบียบ” (Disorderly Correction)
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2022 ECB ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วทั้งหมด 10 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ ECB ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งแม้ว่าผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะรู้สึกเพิ่มมากขึ้นในภาคส่วนต่างๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ แต่ความเข้มงวดส่วนใหญ่ยังต้องกรองออกไป เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมสำหรับครัวเรือน บริษัท และรัฐบาลจะค่อยๆ ขยับสูงขึ้นเท่านั้น
นอกจากนี้ ECB ยังระบุอีกว่า การล้มละลายของบริษัทกำลังเริ่มฟื้นตัวและอาจเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในวงกว้างมากขึ้นและต้นทุนด้านเครดิตก็สูงขึ้น รวมถึงอาจมีการผิดนัดชำระหนี้มากขึ้นในอนาคต โดยอาจมีผลกระทบต่องบดุลของธนาคาร นักลงทุนที่ไม่ใช่ธนาคารในตราสารหนี้องค์กร และโอกาสการจ้างงานในครัวเรือน
ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าหน้าที่ ECB ยังเตือนด้วยว่า สภาพแวดล้อมเริ่มเลวร้ายยิ่งขึ้นสำหรับธนาคาร ซึ่งจนถึงขณะนี้ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ขณะนี้ผู้ให้กู้เผชิญกับข้อกำหนดความเสี่ยงที่สูงขึ้น เนื่องจากผู้กู้จำนวนมากต้องดิ้นรนในการชำระคืนเงินกู้ ขณะที่ต้นทุนทางการเงินของธนาคารต่างๆ ก็ถูกกำหนดให้สูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากการแข่งขันแย่งชิงเงินฝากที่ดุเดือด ลูกค้าจำนวนมากขึ้นเปลี่ยนเงินสดไปเป็นเงินฝากระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า และหนี้สินที่ครบกำหนดชำระจำเป็นต้องรีไฟแนนซ์
เพื่อจำกัดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ทาง ECB ได้เรียกร้องให้ทางการรักษา Macroprudential Capital Buffer ไว้ ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้หากเงื่อนไขในภาคส่วนนี้แย่ลง ระดับความสามารถในการทำกำไรของธนาคารในปัจจุบันอาจทำให้บางประเทศเพิ่มขึ้นได้
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาถึงเรื่องงบประมาณแล้ว ECB เตือนว่า ความเสี่ยงของการเลื่อนไหลทางการคลัง (Risks of Fiscal Slippage) อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าอันดับเครดิตของอิตาลีซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดของความกังวลของนักลงทุนจะรอดพ้นจากการถูกจัดอันดับเป็น Junk จาก Moody’s Investors Service ก็ตาม
ทั้งนี้ รองประธาน ECB เน้นย้ำว่า “สถานการณ์ของ EU นั้นยังดีอยู่ และเราไม่ได้เห็นความผันผวนมากเกินไปในแง่ของสเปรด เรายังเห็นสเปรดที่แคบลงด้วยซ้ำ”
อย่างไรก็ตาม ECB ยอมรับว่า การเจรจากับสหภาพยุโรปเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ทางการคลังใหม่กำลังทำให้เกิดความไม่แน่นอนอย่างมีนัยสำคัญ และการบรรลุข้อตกลงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการยึดความคาดหวังสำหรับความยั่งยืนของหนี้และการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม โดย Guindos ชี้ว่า สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับ ECB ก็คือ ชาติสมาชิกไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ เนื่องจากตลาดต้องการความชัดเจนเหนือกรอบการทำงานและกฎเกณฑ์ที่ใช้กำกับดูแล
อ้างอิง: