บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) รายงานกำไรครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ที่ 1,430.44 ล้านบาท ลดลง 68.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 3,049.58 ล้านบาท สาเหตุหลักของการลดลงดังกล่าวมาจากผลการดำเนินงานของธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้าและรถเพื่อการพาณิชย์ เนื่องจากส่งมอบรถน้อยลง
รวมทั้งผลการดำเนินงานของธุรกิจแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ลดลง เช่นเดียวกับธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในจังหวัดนครสวรรค์ที่มีรายได้ลดลง เนื่องจากหมดระยะเวลาการรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล (Adder) และผลกระทบจากการปรับลดค่า FT ของทางภาครัฐ
สำหรับผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา EA มีกำไรอยู่ที่ 541.74 ล้านบาท ลดลง 39% จากไตรมาสแรก
ขณะที่กระแสเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน ณ ครึ่งปีแรก มีจำนวน 3,860.83 ล้านบาท โดยมาจากกำไรก่อนภาษีเงินได้จำนวน 1,069.02 ล้านบาท และปรับปรุงด้วยรายการกระทบยอดกำไรก่อนภาษีเงินได้เป็นเงินสดรับ (จ่าย) จากกิจกรรมดำเนินงาน ซึ่งรายการหลักที่มีผลทำให้กระแสเงินสดเพิ่มขึ้น ได้แก่ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจำนวน 1,894.34 ล้านบาท ต้นทุนทางการเงินจำนวน 1,311.42 ล้านบาท ผลขาดทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จำนวน 169.24 ล้านบาท กำไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงินจำนวน 74.31 ล้านบาท ค่าเผื่อการปรับลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือจำนวน 144.07 ล้านบาท และอื่นๆ จำนวน 21.35 ล้านบาท
รายการหลักที่มีผลให้กระแสเงินสดลดลง ได้แก่ ดอกเบี้ยรับจำนวน 347.56 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นสุทธิจำนวน 180.30 ล้านบาท อื่นๆ จำนวน 12.91 ล้านบาท
ส่วนกระแสเงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมลงทุนจำนวน 1,163.95 ล้านบาท โดยหลักจากเข้าไปลงทุนร่วมในบริษัท ทีซี รีนิวอะเบิ้ล เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด และลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวรเพื่อขยายโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และลงทุนเพิ่มในโครงการกำจัดขยะมูลฝอยในเกาะล้านที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี และเทศบาลนครภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
กระแสเงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงินมีจำนวน 3,869.19 ล้านบาท โดยหลักจากการชำระเงินกู้ยืมและดอกเบี้ยสถาบันการเงิน จำนวน 3,412.70 ล้านบาท รวมถึงจ่ายปันผล จำนวน 1,113.85 ล้านบาท สุทธิจากการรับเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น จำนวน 767.67 ล้านบาท
สำหรับปัญหาสภาพคล่องจากการมีหุ้นกู้ครบกำหนดชำระและบริษัทต้องขอเลื่อนระยะเวลาชำระออกไปนั้น ผู้บริหารเชื่อมั่นว่าบริษัทจะมีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจตามที่บริษัทต้องการ และสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องในอีก 12 เดือนข้างหน้า
นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเจรจาหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ (Strategic Partner) ที่มีศักยภาพสามารถเข้ามาเพิ่มทุนเพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการเงินและเพิ่ม Synergy ระหว่างกัน ซึ่งรวมถึงพิจารณาการจำหน่ายสินทรัพย์ของบริษัท แต่ไม่จำกัดเพียงการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) หรือการจำหน่ายสินทรัพย์ให้แก่นักลงทุนที่ให้ความสนใจ โดยบริษัทขอยืนยันว่ายังคงมีความสามารถในการปฏิบัติตามข้อผูกพันทางการเงินที่มีอยู่ในปัจจุบันและในอนาคตได้
