×

ดเวย์น จอห์นสัน ชีวิตที่พลิกจากนักเลง นักกีฬา นักมวยปล้ำ สู่หนึ่งในนักแสดงรายได้สูงสุดของโลก

11.04.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. Read
  • ดเวย์น จอห์นสัน เริ่มต้นชีวิตจากการเป็นเด็กเกเร ก่อนเบนเข็มไปสู่อาชีพนักอเมริกันฟุตบอล สร้างชื่อ The Rock ในฐานะนักมวยปล้ำผู้ยิ่งใหญ่ และกลายเป็นหนึ่งในแสดงฮอลลีวูดที่มีรายได้สูงที่สุดในโลก
  • The Mummy Returns คือใบเบิกทางแรกสู่วงการฮอลลีวูด เขามีเวลาบนหน้าจอเพียงแค่ไม่กี่นาที แต่เสียงเรียกร้องจากแฟนๆ ทำให้เขามีหนังภาคแยกเป็นของตัวเองในชื่อ The Scorpion King
  • ดเวย์นแจ้งเกิดแบบเต็มตัวในเรื่อง Fast Five ในบท ลุค ฮ็อบส์ ได้รับค่าตัวมากถึง 32.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และกลายเป็นนักแสดงที่มีรายได้สูงที่สุดในโลกในปี 2016 จากการจัดอันดับของนิตสาร Forbes
  • ในปี 2018 เราจะได้ดูหนังของเขาอีก 3 เรื่องคือ Rampage, Skyscraper และ Fighting with My Family

แทบจะกลายเป็นธรรมเนียมในช่วงปีหลังๆ ที่เราจะได้เห็นหน้าดุๆ และกล้ามล่ำๆ ของ ดเวย์น จอห์นสัน อดีตนักมวยปล้ำชื่อดังเจ้าของฉายา ‘เดอะ ร็อก’ ที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงปีละ 2-3 เรื่องเป็นอย่างต่ำ

 

จากจุดเริ่มต้นในปี 2001 กับบทบาทในเรื่อง The Mummy Returns เพียงไม่กี่นาที เขาค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์และรอโอกาสที่เหมาะสมอยู่เกือบ 10 ปี กว่าจะได้แจ้งเกิดแบบจริงๆ กับบท เจ้าหน้าที่ฮ็อบส์ ใน Fast Five หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครหยุดเขาได้อีกต่อไป และกลายเป็นนักแสดงที่มีรายได้มากที่สุดในโลกในปี 2016 ได้สำเร็จ

 

เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องก่อนที่ Rampage หนังเรื่องล่าสุดของเขากำลังจะเข้าฉายในวันที่ 12 เมษายนนี้ THE STANDARD ขอพาทุกคนย้อนไปดูเส้นทางตั้งแต่วันแรกที่เขาลืมตาขึ้นมาดูโลก กว่าจะกลายมาเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จ ชีวิตของเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง และเส้นทางเหล่านั้นก็ได้บอกให้พวกเรารู้ว่าภายใต้มัดกล้ามเหล่านั้น ไม่เคยมีอะไรที่ได้มาอย่างง่ายดาย

 

ร็อกกี้ จอห์นสัน และปีเตอร์ มายเวีย คุณพ่อและคุณตาของดเวย์น จอห์นสัน
Photo: amazingorfunny.blogspot.com

 

พันธุกรรมมวยปล้ำเข้มข้นรุ่นที่ 3

วันที่ 2 พฤษภาคม 1972 หนุ่มน้อยผู้มีอนาคตเป็นนักมวยปล้ำระดับตำนานได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก พร้อมกับชื่อ ดเวย์น ดักลาส จอห์นสัน เป็นลูกคนชายคนเดียวของ ร็อกกี้ จอห์นสัน ผู้ได้รับฉายา Soul Man มีดีกรีเป็นนักมวยปล้ำแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่คว้าแชมป์แบบแท็กทีมมาครองได้สำเร็จ

 

และถ้าย้อนไปอีกหนึ่งเจเนอเรชัน คุณตาของเขา ปีเตอร์ มายเวีย ก็เป็นนักมวยปล้ำเชื้อสายซามัว คุณยายลีอา มายเวีย ก็เป็นถึงโปรโมเตอร์หญิงชื่อดังแห่งวงการมวยปล้ำ และยังมีความสนิทสนมกับครอบครัวอานัวอี (ครอบครัวชาวอเมริกัน-ซามัวที่ยึดกีฬามวยปล้ำเป็นอาชีพ) ทำให้เด็กชายดเวย์นเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ช่วยหล่อหลอมความเป็นนักสู้แบบอัตโนมัติ

 

เด็กชายดเวย์น

Photo: menstrait.com

 

ยากจน นักเลงหัวไม้ และจุดเริ่มต้นชีวิตนักกีฬา

เนื่องจากความนิยมในกีฬามวยปล้ำยังไม่แพร่หลาย ทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวนักมวยปล้ำไม่ได้ดีอย่างที่คิด ถึงขนาดถูกไล่ออกจากบ้านที่อาศัยอยู่มาแล้ว เขาต้องย้ายที่อยู่เพื่อตามคุณพ่อไปแข่งในที่ต่างๆ และพ่อก็ไม่ได้มีเวลาดูแลเขามากนัก ทำให้เด็กชายดเวย์นในวัย 14 ปีเริ่มคิดที่จะดูแลตัวเองและแม่ด้วยการรวมกลุ่มเพื่อนออกตระเวนฉกชิงวิ่งราวเพื่อนำทรัพย์เหล่านั้นไปขาย จนการขึ้นโรงขึ้นศาลกลายเป็นเรื่องปกติในเวลานั้น

 

Photo: broscience.co

 

จนกระทั่งอายุ 16 ปี ประตูแห่งโอกาสบานแรกเริ่มเปิดออก อาจจะด้วยยีนของนักกีฬามวยปล้ำที่อัดแน่นอยู่ในตัว ทำให้ร่างกายของเขาพัฒนานำเพื่อนๆ ไปไกลด้วยส่วนสูง 6 ฟุต 4 นิ้ว และน้ำหนัก 225 ปอนด์ จนกระทั่งคุณครูประจำโรงเรียนเห็นแววและชวนให้เขาเริ่มเล่นกีฬาอเมริกันฟุตบอล ด้วยนิสัยก้าวร้าวดุดันและร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นนักอเมริกันฟุตบอลดาวรุ่งที่น่าจับมองในเวลานั้นทันที

 

ดเวย์นเมื่อตอนสวมหมายเลข 94 อยู่ทีม Miami Hurricanes
Photo: www.cbssports.com

 

เขาตัดสินใจเข้าร่วมทีม Miami Hurricanes ของมหาวิทยาลัยไมอามี ในตำแหน่ง Defensive Lineman พร้อมกับสถิติแท็กเกิลสำเร็จ 77 ครั้งในการลงสนาม 39 เกม และพาทีมคว้าแชมป์ระดับประเทศในปี 1991 ได้สำเร็จ

 

เส้นทางในสนามหญ้าของเขาดูเหมือนสดใส แต่ด้วยอาการบาดเจ็บที่หัวไหล่ ทำให้เขาไม่ได้ไปต่อในการดราฟต์ตัวผู้เล่นศึกคนชนคน NFL และต้องไปเล่นให้ทีม Calgary Stampede ที่ประเทศแคนาดา ใช้เวลาเพียง 2 เดือน ก่อนจะได้รับคำตอบว่าความฝันของเขาในวงการอเมริกันฟุตบอลจบลงเพียงเท่านี้

 

ท่า Rock Bottom และ People’s Elbow
Photo: www.thesun.co.uk

 

สร้างตำนาน The People’s Champ หนึ่งในนักมวยปล้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

ช่วงที่เขาหันหลังให้กับอาชีพนักอเมริกันฟุตบอล เป็นเวลาเดียวกับที่พ่อของเขาประกาศหันหลังให้กับวงการมวยปล้ำ ตอนนั้นดเวย์นได้กลับมาอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง โดยมี ร็อกกี้ จอห์นสัน ถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดให้และผลักดันเขาเข้าสู่วงการมวยปล้ำอย่างเต็มตัวด้วยฉายา ‘ร็อกกี้ มายเวีย’ ที่ได้จากการเอาชื่อของพ่อและตาของเขามารวมกัน

 

Photo: www.thesun.co.uk

 

ดเวย์นในวัย 26 ปี ใช้เวลาไม่นานก็ครองใจแฟนมวยปล้ำทั้งโลกได้สำเร็จ และคว้าแชมป์ WWE (World Wrestling Entertainment) เป็นแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุดในขณะนั้น (ก่อนจะถูก บร็อก เลสเนอร์ ทำลายสถิติด้วยอายุ 25 ปี)

 

ด้วยทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง บุคลิกที่น่าจดจำ (ทำหน้าถมึงทึงและเลิกคิ้วขวาข้างเดียว) มีท่าไม้ตายเฉพาะตัวอย่าง Rock Bottom และ People’s Elbow (ท่าศอกมหาชนที่เด็กผู้ชายในยุคนั้นต้องเคยเลียนแบบแน่นอน) รวมทั้งทักษะการเอ็นเตอร์เทนคนดูที่เร้าใจ ทำให้เขาได้รับฉายา The People’s Champ มาครองได้อย่างรวดเร็ว

 

ตลอดระยะเวลา 9 ปีในอาชีพมวยปล้ำของดเวย์น เขาเคยเป็นแชมป์โลก 9 สมัย โดยคว้าแชมป์โลกของ WWE มาได้ 7 สมัย และคว้าแชมป์โลก WCW (World Championship Wrestling) มาได้ 2 สมัย รวมไปถึงแชมป์อื่นๆ ได้แก่ แชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัล 2 สมัย, แชมป์โลกแท็กทีมของ WWE 5 สมัย และเป็นผู้ชนะใน The Royal Rumble ในปี 2000

 

Photo: The Mummy Returns

 

The Mummy Returns ใบเบิกทางสู่วงการฮอลลีวูด

ในปี 2001 เขาได้รับเชิญให้เล่นหนังบล็อกบัสเตอร์อย่าง The Mummy Returns ในบท สกอร์เปียนคิง บอสใหญ่ตัวที่สุดท้ายที่มีเวลาปรากฏตัวแค่ไม่กี่นาที แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้แฟนๆ เรียกร้องอยากเห็นเขาได้รับบทนำอย่างเต็มตัวในเรื่องต่อๆ ไป

 

จนในปี 2002 เขาได้กลับมาแบบเต็มตัวอีกครั้งกับหนังเรื่อง The Scorpion King ที่เป็นภาคสปินออฟจาก The Mummy Returns ว่าด้วยการต่อสู้ของเมธาอุส นักรบผู้เก่งกาจ ก่อนที่จะต้องคำสาปและกลายมาเป็น ‘ราชาแมงป่อง’ อย่างที่ได้เห็นกัน โดยในเรื่องนี้ดเวย์นได้รับค่าตัวมากถึง 5.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ในเวลานั้น

 

Photo: The Scorpion King

 

หลังจากนั้นเขาก็รับงานแสดงสลับกับงานนักกีฬามวยปล้ำมาตลอด แต่เนื่องจากฤดูกาล ‘ปล้ำ’ กินเวลามากถึง 8-9 เดือนต่อหนึ่งปี ตัวเขาจึงไม่มีเวลาไปแสดงหนังมากนัก ทำให้ในเวลา 4 ปี เขามีผลงานภาพยนตร์แค่ Longshot และ The Rundown ซึ่งก็ไม่ถือว่าประสบความสำเร็จเท่าไรนัก

 

จนกระทั่งเขาได้เล่นหนังเรื่อง Walking Tall หรือไอ้ก้านยาว ภาพที่เขาถือไม้หน้าสามไล่ฟาดคู่ต่อสู้เป็นว่าเล่นทำให้คนเริ่มจดจำเขาในฐานะนักแสดงขึ้นมาบ้าง ก่อนที่จะตัดสินใจยุติบทบาทนักมวยปล้ำอย่างเป็นทางการในปี 2004 (ไม่นับการรับเชิญให้กลับไปร่วมสังเวียนบ้างเป็นครั้งคราวในเวลาต่อมา)

 

Photo: Faster

 

จาก Driver สู่ Fast Five และขึ้นแท่นเป็นนักแสดงที่มีรายได้มากที่สุดในปี 2016

เมื่อหันหลังให้กับสังเวียนมวยปล้ำ เขามีหนังให้เล่นไม่ขาดสายทั้ง Be Cool (2005), Doom (2005), Southland Tales (2006), Gridiron Gang (2006), Reno 911!: Miami (2007), The Game Plan (2007), Get Smart (2008), Race to Witch Mountain (2009), Tooth Fairy (2010), The Other Guys (2010) ฯลฯ ซึ่งส่วนมากจะเป็นหนังเกรดบี หรือหนังที่ไม่ประสบความสำเร็จมากเท่าไร ทำให้คนยังไม่ยอมรับเขาในฐานะนักแสดงมากนัก

 

จนกระทั่งได้รับบท ‘คนขับรถ’ ในหนังเรื่อง Faster ที่ทำให้คนมองเห็นออร่าเมื่อได้แสดงคู่กับรถยนต์และความเร็ว จนนำไปสู่บท ลุค ฮ็อบส์ ศัตรูคู่รักของ โดมินิก โทเรตโต ใน Fast Five (2011) ที่เขาเพิ่มค่าตัวไปถึง 32.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่ามากที่สุดในเรื่อง มากกว่าเพื่อนนักแสดงอย่าง วิน ดีเซล และพอล วอล์กเกอร์ ที่ได้รับค่าตัวอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

 

หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นขาประจำของหนังแอ็กชันที่มีแต่คนต้องการตัว และเข้าสู่ช่วงพีกของอาชีพนักแสดงในปี 2013 ที่มีภาพยนตร์ 5 เรื่องเข้าฉาย ตั้งแต่หนังเล็กๆ 3 เรื่องอย่าง Snitch, Empire State, Pain & Gain ไปจนถึงหนังฟอร์มใหญ่อีก 2 เรื่องคือ G.I. Joe: Retaliation และ Fast & Furious 6 ขึ้นแท่นเป็นนักแสดงนำชายที่ทำรายได้ในปี 2013 สูงสุดเป็นอันดับที่ 5 (การจัดอันดับของนิตยสาร Forbes) ด้วยตัวเลขรายได้ที่สูงถึง 46 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

Photo: Fast Five

 

ในปี 2015 เขาก็ยังได้รับบทบาทต่อเนื่องใน Furious 7 และ San Andreas ที่ถือว่าทำได้ดีมากในการแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้คนเดียว

 

กระทั่งในปี 2016 จากการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes ก็ได้ยกให้เขาเป็นนักแสดงนำชายที่มีรายได้มากที่สุดในโลกกับจำนวนเงิน 64.5 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการแสดงเรื่อง Central Intelligence, Baywatch และ The Fate of the Furious (รายได้จากเรื่อง San Andreas ก็ถูกนำมานับในครั้งนี้ด้วย) ทำสถิติขึ้นนำอันดับ 2 อย่าง แจ็คกี้ ชาน ที่ทำไป 61 ล้านเหรียญสหรัฐ และแมตต์ เดมอน ที่ทำไป 55 ล้านเหรียญสหรัฐ  

 

ในปี 2017 เขาได้เล่นหนังอย่าง Jumanji: Welcome to the Jungle (รายได้เรื่องนี้ไม่ถูกนับรวมในปี 2016) อันดับของเขาตกลงมาอยู่ที่อันดับ 2 กับจำนวนเงิน 65 ล้านเหรียญสหรัฐ เสียตำแหน่งให้กับ มาร์ก วอห์ลเบิร์ก ที่ทำรายได้ไปถึง 68 ล้านเหรียญสหรัฐ จากหนังเรื่อง Daddy’s Home 2 และหนังใหญ่อีก 2 เรื่องคือ Transformers: The Last Knight และ All the Money in the World ไปอย่างน่าเสียดาย

 

Photo: Rampage

 

หนัง 3 เรื่องของดเวย์นในปี 2018

ในปีนี้ ดเวย์น จอห์นสัน มีผลงานภาพยนตร์ 3 เรื่อง เรื่องแรกคือ Rampage (ได้ค่าตัวประมาณ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ) หนังฟอร์มยักษ์ที่กำลังจะเข้าฉายในวันที่ 12 เมษายน ตัวหนังได้แรงบันดาลใจจากป๊อปคัลเจอร์ในยุค 80s โดยยืมคาแรกเตอร์ของลิงยักษ์ จอร์จ, กิ้งก่ายักษ์ ลิซซี่ และหมาป่ายักษ์ ราล์ฟ จากเกมถล่มเมืองสุดฮิตอย่าง Rampage มาใช้ในการดำเนินเรื่อง โดยดเวย์นจะได้รับบท เดวิส โอโคเย แกนนำไปสู่การต่อสู้เพื่อปกป้องโลกจากบรรดาสัตว์ประหลาดที่เกิดขึ้นจากการทดลอง ความพิเศษในครั้งนี้คือเจ้าจอร์จ กอริลล่าผู้แสนดุร้ายในอดีตจะกลายมาเป็นผู้ที่จับมือมนุษย์เพื่อปกป้องโลกใบนี้เอาไว้ให้ได้

 

เรื่องที่สองคือ Skyscraper ที่มีกำหนดฉายในวันที่ 12 กรกฎาคมนี้ ตัวเนื้อเรื่องยังไม่มีการเปิดเผยมากนัก แต่หลักๆ เขาจะได้รับบทเป็นหัวหน้าทีมช่วยเหลือตัวประกันแห่ง FBI ที่มีภารกิจช่วยเหลือผู้คน รวมทั้งครอบครัวที่ติดอยู่ในตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในประเทศจีน โดยมี ‘เปลวเพลิง’ ที่โหมกระหน่ำเป็นเสมือนอาชญากรตัวร้ายที่จับทุกคนเป็นตัวประกัน

 

ส่วนเรื่องที่ 3 คาดว่าเราน่าจะได้ดูกันในช่วงปลายปีคือ Fighting with My Family ที่ดเวย์นจะได้สวมบทรับเชิญในหนังชีวประวัติของ ซาเรยา-เจด เบวิส นักมวยปล้ำหญิงชื่อดังแห่ง WWE ที่เติบโตมาในครอบครัวนักมวยปล้ำเช่นเดียวกันกับเขา

 

โปรเจกต์ที่รอเขาอยู่ในอนาคต

ดเวย์นยังมีงานรออยู่อีกหลายโปรเจกต์ โดยมีภาพยนตร์ 2 เรื่องคือ San Andreas 2 และ Jumanji 2 กับโปรเจกต์เล็กที่ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนอย่าง The Janson Directive, Jungle Cruise, Doc Savage, Big Trouble in Little China, Red Notice

 

 

แต่ที่เราตื่นเต้นที่สุดคือโปรเจกต์ Hobbs And Shaw ภาคสปินออฟของแฟรนไชส์ Fast & Furious ที่เราจะได้เห็นการซัดกันแบบเต็มๆ ระหว่างสองคู่ปรับตลอดกาล ทั้งเจ้าหน้าที่ฮ็อบส์ และเด็กการ์ด ชอว์ (รับบทโดย เจสัน สเตแธม) คาดว่าน่าจะได้ดูกันในปี 2019

 

อีกหนึ่งโปรเจกต์คือการก้าวเข้าสู่จักรวาล DC เป็นครั้งแรกของดเวย์น กับบทบาท แบล็ก อดัม วายร้ายที่เรามีโอกาสได้เห็นทั้งหนังเดี่ยวของเขา และโปรเจกต์ Suicide Squad 2 ร่วมกับเหล่าแอนติฮีโร่สุดแสบทั้งหลายไปพร้อมกันด้วย

 

อ้างอิง:

FYI
  • ฉายาอื่นๆ ที่ดเวย์นเคยใช้และได้รับนอกจาก เดอะ ร็อก และร็อกกี้ มายเวีย คือ The Jabroni Beating, Lalala Pie Eating, Trail Blazing, Eyebrow Raising ฯลฯ
  • ดเวย์นมีความชื่นชอบในวงการบันเทิงอยู่แล้ว โดยเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเอลวิส เพรสลีย์ และชัค นอร์ริส
  • ดเวย์นถือว่าเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลในโลกโซเชียล เพราะในอินสตาแกรม The Rock มีคนติดตามมากถึง 103 ล้านคน
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising