เพศและพื้นที่ (Space) เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นจนยากจะแยกออกจากกันได้ เรื่องเพศหลายหัวข้อเมื่อถูกพูดถึงมักต้องจำกัดวงล้อมให้อยู่แต่เพียงบริเวณพื้นที่ส่วนบุคคล (Private Space) ขณะเดียวกันเรื่องเพศอีกหลายเรื่องก็จำต้องหยิบยกขึ้นอธิบายผ่านมิติของพื้นที่สาธารณะ (Public Space) ทั้งนี้ในสถานการณ์ความเคลื่อนไหวทางการเมืองปัจจุบัน เราพบว่าข้อเรียกร้องเรื่องความเท่าเทียมกันทางเพศในทุกมิติกลายเป็นประเด็นร้อน และยังมีส่วนในการร่วมขับเคลื่อนการชุมนุมให้ก้าวไปพร้อมๆ กับการเรียกร้องประชาธิปไตย การพิจารณาถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านการแสดงออกด้วยการแต่งกายข้ามเพศ (Cross Dressing) ไปจนถึงกระบวนการคอสเพลย์ (Cosplay) ของผู้เข้าร่วมชุมนุมจากหลายๆ ม็อบอย่างสัมพันธ์กับ ‘มิติของเพศและพื้นที่’ ภายใต้มุมมองของละครเวทีและกระแสวัฒนธรรมป๊อปจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจชวนให้พูดถึง
ละครเวที
นับตั้งแต่อดีต ประเด็นที่ว่าด้วยการแต่งกายข้ามเพศ (Cross Dressing) เกี่ยวโยงกับการใช้พื้นที่ของเวทีละคร (Theatre Space) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อละครทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่สาธารณะที่ช่วยเชื่อมต่อการสื่อสาร (Communication) ระหว่างนักการละครเข้ากับผู้ชม ด้วยการเป็นเครื่องมือที่ช่วยเผยให้เห็นภาวะปัญหาและความคับข้องใจของตัวละครที่ขยายตัวออกจากพื้นที่ส่วนบุคคลไปแตะยังปัญหาเชิงโครงสร้างอื่นๆ ที่สังคมนั้นเผชิญอยู่
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การละครตะวันตกนับตั้งแต่กรีกโบราณจนถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในสมัยของ วิลเลียม เชกสเปียร์ กลับปรากฏข้อห้ามทางสังคมและวัฒนธรรมอันเคร่งครัดที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อกีดกันและไม่ยินยอมให้ ‘ผู้หญิง’ ได้มีบทบาทหรือมีส่วนร่วมบนเวทีการแสดง
ภายใต้คุณลักษณะของสังคมอันมีผู้ชายเป็นใหญ่ทั้งการบ้านและการเมือง คนกรีกโบราณเชื่อว่าเพศหญิงอ่อนแอทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่เหมาะควรที่จะต้องรับบทบาทนักแสดงในละครโศกนาฏกรรม (Tragedy) ซึ่งมีเนื้อหาว่าด้วยความตาย หายนะ และจุดจบในชะตากรรมของวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อการเข้าชมละครโศกนาฏกรรมนั้นไม่ต่างจากการเข้าร่วมพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ การจำกัดหน้าที่อันมีความพิเศษนี้ให้คงไว้เฉพาะแต่กับนักแสดงเพศชายเท่านั้นจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ต่างกับละครเวทีสมัยเชกสเปียร์ที่ปิดกั้นผู้หญิงจากพื้นที่ของเวทีการแสดง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ภาพลักษณ์ของสตรีดูตกต่ำเฉกเช่นโสเภณี
เมื่อเป็นดังนี้ บทตัวละครหญิงในละครกรีกและละครเชกสเปียร์จึงถูกสวมบทบาทโดยนักแสดงเพศชายที่จำต้อง ‘แต่งหญิง’ ด้วยการพรางตัวใส่หน้ากาก หรือแต่งหน้าแต่งตาแล้วสวมวิกใส่เสื้อผ้าแบบสตรี
การแต่งกายข้ามเพศ (Cross Dressing) แบบที่ชายสามารถกลายเป็นหญิงจึงถูกอนุโลมให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นอิสระจากกฎหมายและข้อบังคับของสังคมใน ‘พื้นที่สาธารณะของเวทีละคร’ (Public Space as Theatre) ทั้งๆ ที่การสวมเครื่องแต่งกายอันตรงกันข้ามกับเพศกายภาพของตนในสมัยนั้นถือเป็นเรื่องต้องห้าม (Taboo) และขัดต่อหลักศาสนาจนถึงขั้นเป็นความผิดเด็ดขาดตามกฎหมายในพื้นที่สาธารณะ ‘นอกโรงละคร’
ม็อบ
แม้ว่าหลังจากนั้นสังคมจะยอมรับและเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้เป็นนักแสดงมากขึ้น แต่การแสดงบางประเภท เช่น การเล่นตลกสัปดน ก็ยังถูกจัดให้เป็นการแสดงเฉพาะสำหรับนักแสดงเพศชาย การ ‘แต่งหญิง’ ของนักแสดงชายบนเวทีละครจึงเริ่มพัฒนาไปสู่การแสดงแบบคาบาเรต์ (Cabaret) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภายใต้รูปแบบการโชว์ความสามารถสั้นๆ ประกอบดนตรีเรียกว่า ‘Impersonation Show’ โดยนักแสดงชายจะจงใจแต่งกายเลียนแบบผู้หญิง (Impersonate) เพื่อร้องเพลง ทำท่าทางตลกขบขัน และพูดจาชวนหัวสองแง่สองง่ามเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชม จนพฤติกรรมการเดินกรีดกรายลากชายกระโปรง (Dragging costume on the floor) กลายเป็นต้นกำเนิดให้กับคำศัพท์ D.R.A.G ที่ย่อมาจาก Dressed Resembling A Girl ในปัจจุบัน
แต่กระนั้นอิสรภาพของการแต่งหญิงก็ยังไม่อาจก้าวข้ามออกจากพื้นที่ของเวทีละครไปยังพื้นที่สาธารณะในชีวิตจริงได้ โดยเฉพาะกลุ่มชายรักเพศเดียวกันและกลุ่ม Drag Queen ในอเมริกา ที่การแต่งกายข้ามเพศนั้นถูกควบคุมไว้ด้วยกรอบกฎหมายที่เรียกว่า Three-article Rules หรือ Three-piece Law อันมีสาระว่าด้วยการที่ใครก็ตามเมื่อปรากฏตัวในพื้นที่สาธารณะ (Public Space) จำเป็นจะต้องสวมใส่เครื่องแต่งกายที่สอดคล้องกับเพศกายภาพของตนอย่างน้อย 3 ชิ้นบนร่างกาย หาไม่แล้วบุคคลนั้นก็อาจถูกจับกุมจากเจ้าหน้าที่รัฐได้
ทั้งที่จริงกฎหมายที่ว่านี้เป็นเพียงข้ออ้างซึ่งต่อยอดมาจากกฎหมายเก่าเมื่อปี 1845 ภายใต้รูปแบบของ Masquerade Laws อันมีประเด็นว่าด้วยการห้ามสวมหน้ากากหรือปลอมแปลงร่างกายในพื้นที่สาธารณะเพื่อ ‘ห้ามมิให้บุคคลทาสี ปลอมแปลงใบหน้า หรือตกแต่งอำพรางร่างกายตนเองเมื่อปรากฏตัวบนถนนหรือสถานที่ส่วนรวม’ โดยมีจุดประสงค์สำคัญในการใช้ป้องกันไม่ให้คนขาวปลอมตัวเป็นอินเดียนแดงแล้วหลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่เก็บภาษี ทว่ามันกลับถูกบิดเบือนเพื่อใช้เป็นเครื่องมือของรัฐสำหรับจัดการกับชายรักเพศเดียวกัน และใช้บังคับควบคุมพฤติกรรมการแต่งกายข้ามเพศอย่างไม่ยุติธรรม
กฎหมายที่ว่านี้เองที่กลายเป็นสาเหตุหนึ่งของ ‘เหตุจลาจลสโตนวอลล์’ (Stonewall Riot) ที่เกิดขึ้นในคืนวันที่ 28 มิถุนายน 1969 จากกรณีตำรวจบุกเข้าตรวจค้นสโตนวอลล์ อินน์ บาร์เล็กๆในย่านกรีนนิชวิลเลจ เมืองนิวยอร์ก ที่เปิดพื้นที่ส่วนบุคคล (Private Space) ต้อนรับลูกค้าชายรักเพศเดียวกัน รวมทั้งบรรดา Drag Queen ให้ได้มีโอกาสสังสรรค์กันอย่างเปิดเผย พร้อมกับจัดฟลอร์เต้นรำในร้านให้กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) ที่ลูกค้าสามารถเต้น Slow Dance ซบไหล่กันได้อย่างไม่จำเป็นต้องกังวลกับคำดูถูกจากใคร การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าจับกุมลูกค้าในพื้นที่ส่วนตัวด้วยการใส่ร้าย ปรักปรำ พร้อมกับอ้างหลักกฎหมายที่ถูกบิดเบือนในคืนนั้นจึงไม่ต่างจากความพยายามของรัฐในการบังคับใช้อำนาจอย่างล่วงล้ำและลิดรอนเสรีภาพที่มีเหลือเพียงน้อยนิดของคนรักเพศเดียวกัน กระทั่งแตกหักเป็นการลุกฮือขึ้นต่อสู้ที่นำไปสู่การขยายพื้นที่ลงถนนเพื่อช่วงชิงอิสรภาพกลับคืน พร้อมๆ กับการประกาศแนวคิดที่ว่าด้วยสิทธิและความเท่าเทียมกันทางเพศเป็นครั้งแรก จนนำไปสู่ Gay Pride Parade ที่เริ่มจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1970
ละครและพื้นที่เรื่องเพศ
ความขัดแย้งในโลกตะวันตกที่เกิดจากการช่วงชิงพื้นที่ระหว่างรัฐและกลุ่มคนรักเพศเดียวกันผ่านเครื่องมือที่ว่าด้วยอิสรภาพในการแต่งหญิงนี้ ดูเหมือนจะถูกจัดกระทำในมุมมองที่แปลกออกไปในวิถีคิดแบบตะวันออกที่มุ่งอธิบายการดำรงอยู่ของสองขั้วชายหญิง ด้วยการผลิตสร้างพื้นที่เป็นกลางที่ปราศจากความแตกต่างทางเพศ สภาวะของการผสมผสานระหว่างหยินและหยางที่ว่านั้นเห็นได้ในตัวละครประเภท ‘นางเอกชาย’ (男旦 ) หรือ ‘หนานตั้น’ ในงิ้วปักกิ่ง และ ‘อนนะงาตะ’ (女形 onnagata) ในละครคาบูกิของญี่ปุ่น ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘ศิลปะชั้นสูง’ ที่นักแสดงชายจำต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้สามารถรับบทตัวละครหญิงได้ทั้งบนเวทีและในพื้นที่ส่วนตัว ความพยายามเปลี่ยนแปลงตนเองทางกายภาพผ่านอากัปกิริยาท่าทางไปจนถึงความคิดและความรู้สึกนี้เองที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะแห่งการพรางตน (Impersonate) เพื่อให้นักแสดงชายคนหนึ่งได้ ‘กลายเป็นผู้หญิง’ อย่าง ‘สมบูรณ์แบบ’ ต่อหน้าผู้ชม
นอกจากนั้นกระบวนการที่พื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะถูกสลายจนกลายเป็นหนึ่งเดียวผ่านการหลอมรวมตัวตนทางเพศยังปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมความเชื่อแบบฮินดู ที่ว่าด้วยการรวมร่างของพระอิศวร (ตัวแทนเพศชาย) และพระแม่ปารวตี (พระแม่อุมา หรือตัวแทนเพศหญิง) เข้าด้วยกันในนามของเทพ ‘อรรถนารีศวร’ ที่ปรากฏกายในลักษณะสองเพศ โดยมีการแบ่งครึ่งตามแนวตั้งของลำตัวซึ่งแยกออกเป็นฝั่งชายและหญิงในพื้นที่เท่าๆ กัน เพื่ออธิบายถึงที่มาของพลังงานอันสมดุลที่ถือเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งต่างๆ ในจักรวาล
ไม่ต่างไปจากตัวละครเอกในวรรณคดีเรื่อง อิลราชคำฉันท์ ของพระยาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ์) เมื่อปี 2456 จากเค้าโครงบทหนึ่งของรามายณะที่ว่าด้วยเรื่องท้าวอิลราช กษัตริย์ผู้ต้องมนต์ของพระอิศวรจนต้องกลายเพศเป็นนางอิลาหญิงงามขณะออกล่าสัตว์ในแถบเขาไกรลาส เวลาเดียวกับที่พระอิศวรทรงแปลงร่างเป็นสตรีและร่ายมนต์ให้ทุกสรรพสิ่งในเขตนั้นกลายเป็นหญิงเพื่อหยอกล้อกับพระแม่อุมา ที่เมื่อทราบข่าวถึงเหตุเช่นนั้นก็ทรงเข้าช่วยเหลือโดยการบันดาลพรให้ท้าวอิลราชสามารถกลับคืนเป็นชายได้เพียงหนึ่งเดือน ก่อนจะกลับไปเป็นหญิงต่ออีกหนึ่งเดือนสลับกันไป
การผลิตสร้างเทพเจ้าและรูปเคารพขึ้นจากตัวละครและเรื่องเล่าที่ตั้งอยู่บนภาวะสมดุลของความเป็นเพศชายและหญิงเช่นนี้ยังชวนให้นึกถึงการเกิดขึ้นของ ‘พระแม่พหุชระ’ (Bahuchara Mata) ปางหนึ่งของพระอุมาเทวีที่เป็นดังพระแม่ผู้คุ้มครองบรรดา ‘ฮิชระ’ (Hijra หรือกะเทย) อันหมายถึงบุคคลผู้ไม่ใช่ชายและไม่ใช่หญิง หรือผู้มีชาติกำเนิดเป็นชายแต่นิยมแต่งกายเป็นหญิงในวัฒนธรรมอินเดีย ที่แต่เดิมนั้นเป็นที่รังเกียจและถูกกีดกันออกจากสังคมจนต้องกลายเป็นคนชายขอบ เพียงเพราะมีลักษณะทางกายภาพและพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสังคมส่วนใหญ่ จนบรรดาเหล่าฮิชระต้องลุกขึ้นต่อสู้กับความอยุติธรรมด้วยความรุนแรงเพื่อช่วงชิงพื้นที่ทางสังคมกลับคืนมา ผ่านการใช้เครื่องมือทางศาสนาและความเชื่อในประเทศอินเดียที่เต็มไปด้วยแนวคิดเรื่องชนชั้นวรรณะ
ฮิชระเริ่มผลักไสทัศนคติเรื่องเพศที่ว่าโลกนี้มีเพียงชายและหญิงออกไป แล้วหลอมรวมนิยามเรื่องเพศเสียใหม่ให้กลายเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Power) ที่มีเพียงหนึ่งเดียว พวกเขาผลิตภาษาพูดขึ้นมาใช้ระหว่างกันเรียก Hijara Farsi พร้อมๆ กับรับเอา ‘พหุชระมาตา’ ปางหนึ่งของพระแม่อุมาเทวีมานับถือ แล้วจากนั้นก็เริ่มสร้างตัวตนทางสังคมขึ้นมาใหม่ในฐานะของบุคคลพิเศษผู้รับพรโดยตรงจากพระแม่พหุชระ เทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่พวกเขาจะต้องได้รับการเชื้อเชิญให้ร้องเพลงและฟ้อนรำอำนวยพรในงานฉลองกับทุกครอบครัวที่เพิ่งคลอดบุตร การต่อรองพื้นที่คืนจากสังคมและรัฐผ่านขั้นตอนการใช้เครื่องมือทางความเชื่อที่ถูกผลิตขึ้นใหม่เช่นนี้จึงกลายเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลให้ในปัจจุบันฮิชระได้รับการยอมรับทางกฎหมายว่าพวกเขามีฐานะเป็นหนึ่งในพลเมืองของอินเดีย สามารถมีบัตรประชาชน และได้รับสวัสดิการทางสังคมอย่างเท่าเทียมกับคนอื่น
นาตาชา โรมานอฟ
ความน่าสนใจในปรากฏการณ์คอสเพลย์และการแต่งหญิงในม็อบที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้เป็นแค่การแสดงออกทางสัญลักษณ์เพื่อปฏิเสธอำนาจรัฐที่ต้องการควบคุมความประพฤติของประชาชนผ่านวิธีการกำหนดสร้างกรอบมาตรฐานของเครื่องแบบและเครื่องแต่งกายให้มีเพียงมาตรฐานเดียวแต่เพียงเท่านั้น แต่มันกำลังทำหน้าที่สะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิในความหลากหลายของการเป็นมนุษย์ ด้วยการหยิบเอากรอบมาตรฐานที่สังคมผลิตขึ้นเองนั้นมาตั้งคำถามผ่านการล้อเลียนและปรุงรูปโฉมเสียใหม่เพื่อเสียดสีอย่างสร้างสรรค์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการหยิบเอาตัวละครและเครื่องมือจากวัฒนธรรมป๊อปที่มีคุณสมบัติในการปลอมแปลงตัวตน (Impersonate) และสามารถสลับบทบาทไปมาระหว่างพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนบุคคลได้อย่างแนบเนียนมาใช้เป็นเครื่องมือจนชวนให้นึกถึงโครงสร้างของละครแบบ Well-made Play หรือ Pièce bien faite ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงในฝรั่งเศสช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่เน้นโครงสร้างเรื่องเล่าสนุกสนานแบบครบรสเอาใจผู้ชม โดยมักจะซ่อนปมความลับ (Big Surprise) เอาไว้ในเนื้อเรื่องเพื่อให้ตัวละครและผู้ชมได้ติดตามค้นหา ก่อนที่จะจบลงพร้อมกับการเฉลยตัวตนที่แท้จริงของตัวละครหลักที่บางครั้งก็ลอบแฝงตัวเข้ามาเพื่อสืบข้อมูลซึ่งถูกปกปิดไว้
ตัวละครในลักษณะนี้จึงมีความคล้ายคลึงกับอาชีพ ‘สายลับนักสืบ’ (Private Investigator หรือ Private Eye) ในองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อราวปี 1833 โดยอดีตอาชญากรชาวฝรั่งเศสผู้ชื่นชอบละครเวทีอย่าง ยูจีน ฟรังซัวส์ วีด็อก ที่โดดเด่นด้านการสืบค้นข้อมูลด้วยทีมงานนักโทษผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์หลักฐาน พิสูจน์วิถีกระสุน และเก็บรอยนิ้วมือ ไปจนถึงการใช้ศิลปะปลอมแปลงตัวตน (Impersonate) เพื่อล้วงความลับ
การปรากฏตัวขึ้นของ นาตาชา โรมานอฟ สายลับสาวผู้แปรพักตร์จากโซเวียตรัสเซียเข้าสู่อ้อมกอดหน่วยสืบราชการลับ S.H.I.E.L.D. และทีม The Avengers ของสหรัฐอเมริกาพร้อมๆ กับผองเพื่องชาวแดร็ก และทีมงานแม่ค้า CIA ในม็อบที่เกิดขึ้นหลายๆ ครั้งนั้นจึงสะท้อนให้เห็นกระบวนการหยิบเอาวัฒนธรรมป๊อปมาเล่นสนุกกับประวัติศาสตร์และประเด็นเรื่องเพศได้อย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการขยายมิติพื้นที่ของการแต่งแดร็กให้ก้าวข้ามจากเวทีโรงละครและการแสดงโชว์มาสู่พื้นที่ของการเรียกร้องประชาธิปไตยและความเท่าเทียมกันทางเพศในสังคมสาธารณะที่ทุกคนควรมีสิทธิมีเสียงร่วมกันได้อย่างเปิดเผย ไปจนถึงการใช้กระบวนการ ‘แต่งหญิง’ เพื่อท้าทายอคติจากระบอบอำนาจนิยมเดิมที่มักผูกโยงเรื่องเพศเข้ากับมาตรฐานของเครื่องแต่งกายตามเพศกายภาพแต่เพียงมาตรฐานเดียว ไปสู่การเปิดประเด็นของการใช้เครื่องแต่งกายเพื่อแสดงความหลากหลายของเพศที่สามารถประกอบสร้างจากตัวตนจากภายในให้แข็งแกร่งจนกล้าที่จะก้าวออกจากพื้นที่ส่วนตัวและการดูถูกเหยียดหยาม มาสู่พื้นที่ของการยอมรับตนเองอย่างหยัดยืนและมั่นคงได้ตามแบบที่ควรจะเป็น
ภาพ:
- https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Actresses_on_the_stage_of_the_Globe_Theatre_in_Rome.jpg
- https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Project_Victory_Cosplay_Theatre_at_FanimeCon_2010_Masquerade_3.JPG
- https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Stonewall_Inn_10_pride_weekend_2016.jpg
- https://commons.wikimedia.org/wiki/File:BandoTamasaburoV_Nihonbashi_Dec2012_cropped.jpg
- https://commons.wikimedia.org/wiki/File:%E8%97%A4%E5%A8%98_(8655848119).jpg
- https://commons.wikimedia.org/wiki/File:%E6%97%A5%E6%9C%AC%E8%88%9E%E8%B8%8A_%E9%95%B7%E5%94%84%E3%80%8C%E9%B7%BA%E5%A8%98%E3%80%8D.jpg
- https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Bahuchara_Devi.jpg
- https://thestandard.co/pro-democracy-protestors-rally-25102020/
- https://thestandard.co/drag-queen-assemble-call-prayut-to-resign/
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
- Chang, P. (2020). Performing Femininity: Exploring Onnagata Kabuki in Japanese Theater. Footnotes, 20. Retrieved from https://journal.lib.uoguelph.ca/index.php/footnotes/article/view/5951
- Ryan, Hugh. (2019). How Dressing in Drag Was Labeled a Crime in the 20th Century. Retrieved from https://www.history.com/news/stonewall-riots-lgbtq-drag-three-article-rule
- The fabulous history of drag. (2020). Retrieved from https://www.bbc.co.uk/bitesize/articles/zbkmkmn