SCBS CIO ได้ปรับลดมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นยุโรปจาก Positive เป็น Slightly Positive เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นยุโรปได้ทยอยปรับเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างมากและต่อเนื่อง โดยดัชนี STOXX600 ปรับเพิ่มขึ้นราว 16.8% นับตั้งแต่ต้นปี จึงทำให้ Valuation ของตลาดเริ่มแพงขึ้นโดยเปรียบเทียบ ซึ่งปัจจุบัน 12-Month Forward PE ดัชนี STOXX600 อยู่ที่ 16.9 เท่า ซึ่งใกล้ระดับ +1 SD เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปี
นอกจากนี้ความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตาที่มีมากขึ้น โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักร ประกอบกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายด้านภาษีที่อาจเพิ่มขึ้นจากผลการเลือกตั้งในเยอรมนี ทำให้เราปรับลดความร้อนแรงของคำแนะนำการลงทุนหุ้นยุโรปลง
อย่างไรก็ดี แนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนยุโรปในปี 2022 ยังมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งและอาจถูกปรับประมาณการเพิ่มขึ้นต่อ ควบคู่กับปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นการคลังผ่านมาตรการ Next Generation EU หรือ EU Recovery Fund ที่จะเริ่มทยอยเบิกจ่ายในช่วงไตรมาส 3/2021 และนโยบายผ่อนคลายทางการเงินจาก ECB ตลอดจนแนวโน้มการฉีดวัคซีนและการทยอยเปิดเศรษฐกิจของหลายประเทศในยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่มีแนวโน้มสามารถดำเนินการได้ตามแผน จะยังเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นยุโรปสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจในระยะต่อไป สำหรับปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป ได้แก่
- ความคืบหน้าในการแจกจ่ายและฉีดวัคซีนของยุโรป ล่าสุดสหราชอาณาจักร อิตาลี เยอรมนี สเปน และฝรั่งเศส มีสัดส่วนประชากรที่ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส อยู่ที่ 65%, 55%, 53%, 52% และ 42% ตามลำดับ ประกอบกับการคาดการณ์ที่อย่างน้อย 50% ของประชากรในกลุ่มประเทศหลักยุโรปมีแนวโน้มได้รับวัคซีนทั้ง 2 โดส ในช่วงไตรมาส 3/2021 จะช่วยให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในยุโรปและช่วยหนุนให้กิจกรรมเศรษฐกิจยุโรปกลับมาดำเนินเป็นปกติมากขึ้น
- นโยบายทางการคลังของสหภาพยุโรปยังมีแนวโน้มผ่อนคลายต่อเนื่อง โดยประเทศสมาชิกใน EU มีแนวโน้มที่จะได้เงินสนับสนุนจากมาตรการ Next Generation EU เม็ดเงินรวมราว 7.5 แสนล้านยูโร ซึ่งจะเริ่มทยอยเบิกจ่ายตั้งแต่ไตรมาส 3/2021 ซึ่งแต่ละประเทศมีแนวโน้มกระจายการใช้จ่ายเงินสอดคล้องตามแผนของ EU โดยเน้นใช้จ่ายเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนและเน้นใช้จ่ายด้าน Digital Transformation จึงทำให้เรามองแรงส่งของนโยบายการคลังใน EU ยังดำเนินต่อไป ซึ่งเป็นแรงเสริมนอกเหนือจากนโยบายการคลังในแต่ละประเทศ
- ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มที่จะคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อ แม้ว่า ECB อาจมีการส่งสัญญาณลดการเข้าซื้อพันธบัตรในโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) ซึ่งปัจจุบันวงเงินรวมอยู่ที่ 1.85 ล้านล้านยูโร อย่างเร็วในช่วงปลายไตรมาส 3/2021
แต่เรามองว่า ภาพการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบผ่านการเข้าซื้อสินทรัพย์ของ ECB จะยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจาก ECB มีแนวโน้มพิจารณาและรอดูการลดการผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ก่อน แล้วจึงจะเริ่มหารือเพื่อลดการผ่อนคลายทางการเงิน นอกจากนี้ ECB ยังคงมีการเข้าซื้อสินทรัพย์ในโครงการ Asset Purchase Programme (APP) เดิมที่ซื้อสินทรัพย์เดือนละ 2 หมื่นล้านยูโร ทำให้ประเมินได้ว่าสภาพคล่องต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดยังคงมีเพียงพอ
ทั้งนี้ ประมาณการเศรษฐกิจล่าสุด ECB ได้ปรับประมาณการ GDP ในปี 2021 และปี 2022 อยู่ที่ 4.6% และ 4.7% ดีขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่ 4.0% และ 4.1% ตามลำดับ โดยได้แรงกระตุ้นจากนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลาย ด้านประมาณการเงินเฟ้อปี 2021 และปี 2022 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.9% และ 1.5% จากที่คาดการณ์ไว้ในเดือนมีนาคมที่ 1.5% และ 1.2% ตามลำดับ
SCBS CIO มองว่าตลาดหุ้นยุโรปยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป โดยได้รับปัจจัยหนุนจาก
- Consensus ทยอยปรับประมาณการ STOXX600 EPS ต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันคาดว่า EPS Growth ในปี 2021 และปี 2022 จะอยู่ที่ 44% และ 11% ตามลำดับ โดยเรามองว่าด้วยแนวโน้มการทยอยเปิดเศรษฐกิจของยุโรปและภาคบริการยุโรปที่ยังสามารถฟื้นตัวได้อีกมาก จะช่วยหนุน Forward EPS ของตลาดหุ้นยุโรปให้ยังเพิ่มขึ้นต่อได้อีก รวมถึง Positive Surprise จากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนยุโรปในระยะข้างหน้า
- ตัวเลขทางเศรษฐกิจยังฟื้นตัวต่อเนื่อง การใช้จ่ายภาคครัวเรือนของยุโรปมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อ ตามการทยอยลดเงินออมส่วนเกินซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับสูงและการทยอยเพิ่มการใช้จ่ายหลังเปิดเมืองหลังทางการยุโรปเริ่มทยอยผ่อนคลายล็อกดาวน์ โดยหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการ เช่น ภาคการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร จะได้อานิสงส์ นอกจากนี้ดัชนี PMI ของยูโรโซนมีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้นได้ต่อ เรามองเป็นสัญญาณว่าหุ้นกลุ่ม EU Value/Cyclical สามารถเพิ่มขึ้นได้ต่อและยังช่วยหนุนให้ดัชนีหุ้นยุโรปซึ่งมีสัดส่วนหุ้นกลุ่ม Value/Cyclical ค่อนข้างสูงปรับเพิ่มขึ้นตาม และทำให้หุ้นยุโรปยังได้รับอานิสงส์จาก Global Sector Rotation ต่อเนื่อง อีกทั้งเรามองหุ้นกลุ่ม EU Value อาทิ หุ้นกลุ่มภาคการเงิน ยังมีแนวโน้มทยอยปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามเงินเฟ้อคาดการณ์ของยุโรปที่ยังเพิ่มขึ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักที่ยังมีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้นเช่นกัน
- ปัจจัยเฉพาะภูมิภาคที่เป็นแรงส่งทำให้หุ้นยุโรปมีความโดดเด่นต่อเนื่อง โดยเฉพาะแผน EU Green Deal เนื่องจาก EU มีการกำหนดเป้าหมายสนับสนุนชัดเจนในเรื่องการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนมาตั้งแต่เริ่มต้น โดยเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงกว่าครึ่งในปี 2030 เพื่อบรรลุเป้า Carbon Neutrality ในปี 2050 ทำให้กระแสหุ้นกลุ่ม Clean Energy และ Renewables ในยุโรปได้รับความสนใจ
ด้านประเด็นติดตามที่อาจสร้างความผันผวนต่อตลาดหุ้นยุโรปในระยะต่อไป ได้แก่
- ผลการเลือกตั้งเยอรมนีในวันที่ 26 กันยายน โดยพรรค Greens (หนึ่งในตัวเต็งพรรคร่วมรัฐบาลในการจัดตั้งรัฐบาลผสม) ซึ่งได้คะแนนความนิยมเพิ่มขึ้นในเยอรมนีมีแนวนโยบายที่อาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นเยอรมนีและตลาดหุ้นยุโรป โดยเฉพาะนโยบายเรื่องค่าแรงขั้นต่ำและภาษีคนรวย เช่น
- การปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำและการเสนอขึ้นภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้มากกว่า 100,000 และ 200,000 ยูโรต่อปี อยู่ที่อัตรา 45% และ 48% ตามลำดับ
- การเสนอเก็บ Wealth Tax สำหรับผู้ที่มีทรัพย์สินมากกว่า 2 ล้านยูโรขึ้นไป โดยแต่ละปีจะเก็บภาษี 1% ของทรัพย์สิน และ
- การเสนอขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 25% จาก 15% กับทุกบริษัทในเยอรมนี และเสนอเก็บภาษีดิจิทัลเพิ่มเติมกับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
ดังนั้นความไม่แน่นอนเรื่องแนวนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ จนถึงก่อนวันเลือกตั้งของเยอรมนี อาจส่งผลให้ความไม่แน่นอนเชิงนโยบายของยุโรประหว่างช่วงดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นและอาจเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นยุโรปได้
- ประเด็นเรื่อง Global Minimum Tax ตามแผนของกลุ่ม G7 ที่ต้องการกำหนดอัตราภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำ 15% ทั่วโลก แม้ยังไม่ใช่ความเสี่ยงในระยะสั้นแต่อาจส่งผลกดดันบริษัทยุโรปในบางกลุ่มบริษัทและในบางประเทศที่มีอัตราภาษีเดิมต่ำกว่า 15% ซึ่งจะส่งผลต่อหุ้นกลุ่ม EU Growth และกลุ่มที่ปัจจุบันมีการเสียภาษีในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ รวมถึงมีรายได้จากนอกประเทศที่มาก เช่น บริษัทในกลุ่ม Semiconductors และ Consumer Services
- ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นไปตามที่ ECB คาดการณ์ไว้ อาทิ ความเสี่ยงเรื่องการระบาดของสายพันธุ์เดลตาในยุโรปที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง และอาจส่งผลให้หลายประเทศในยุโรปกลับมาใช้มาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลกดดันภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป
พิสูจน์อักษร: นัฐฐา สอนกลิ่น