×

ประเด็นที่โลกคริปโตต้องจับตาต่อเนื่อง หลังสหรัฐฯ ยึด Bitcoin 5 แสนล้านบาท จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์

16.10.2025
  • LOADING...
doj-seize-bitcoin-chenzhi-15billion

HIGHLIGHTS

  • กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้องเพื่อริบทรัพย์สินทางแพ่งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยการยึด Bitcoin จำนวนประมาณ 127,271 BTC ซึ่งมีมูลค่าปัจจุบันราว 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5 แสนล้านบาท 
  • Chainalysis บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลบล็อกเชนชั้นนำของโลก ได้เผยแพร่ 2025 Crypto Crime Report ระบุว่า ในปี 2024 ที่ผ่านมาอาจเป็นปีที่มีมูลค่าความเสียหายจากอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยคาดการณ์ว่ายอดรวมอาจทะลุ 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.6 ล้านล้านบาท
  • Stablecoins กลายเป็น ‘สกุลเงินหลัก’ ของมิจฉาชีพ แตกต่างจากในอดีตที่ Bitcoin (BTC) เป็นสกุลเงินหลักของอาชญากรไซเบอร์ ปัจจุบัน Stablecoins ได้เข้ามาครองสัดส่วนส่วนใหญ่ของปริมาณธุรกรรมที่ผิดกฎหมายทั้งหมดแล้วถึง 63% 

จากกรณีที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ​ (Department of Justice) ตั้งข้อหา เฉิน จื้อ (Chen Zhi) หรือที่รู้จักในชื่อ วินเซนต์ (Vincent) วัย 37 ปี สัญชาติอังกฤษและกัมพูชา ผู้ก่อตั้งและประธานของ Prince Holding Group (Prince Group) หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ของกัมพูชา ในข้อหาสมคบคิดกันฉ้อโกงผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์และสมคบคิดกันฟอกเงิน จากการบงการเครือข่าย ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ในการหลอกลวงการลงทุนคริปโตในรูปแบบ ‘Pig Butchering’ สร้างความเสียหายหลายพันล้านดอลลาร์จากเหยื่อในสหรัฐฯ และทั่วโลก

 

พร้อมกันนี้ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้องเพื่อริบทรัพย์สินทางแพ่งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยการยึด Bitcoin จำนวนประมาณ 127,271 BTC ซึ่งมีมูลค่าปัจจุบันราว 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5 แสนล้านบาท

 

Bitcoin ที่มีมูลค่ามหาศาลราว 5 แสนล้านบาท นำไปสู่ข้อสงสัยอีกหลายแง่มุม ทั้งความเชื่อมั่นต่อ Bitcoin และคริปโต ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในอาชญากรรม รวมทั้งความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการจัดการของสหรัฐฯ ต่อ Bitcoin ที่ยึดมา ว่าจะถูกนำไปคืนให้กับผู้เสียหาย เก็บไว้เป็นทุนสำรอง หรือท้ายที่สุดจะถูกขายออกมา ซึ่งหากเป็นกรณีหลังนี้ ก็อาจสร้างผลกระทบระยะสั้นต่อราคา Bitcoin ได้เช่นกัน 

 

Bitcoin กับการเป็น ‘เครื่องมืออาชญากรรม’

 

หนึ่งในข้อสังเกตที่น่าสนใจ จากหนึ่งในข้อเสนอเพื่อขอรับทุนวิจัย SSHRC Insight Grant ใช้ชื่อหัวข้อไว้ว่า Crypto is King: The rise of cryptocurrency in global financial crime 

 

งานวิจัยนี้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คริปโตอย่าง Bitcoin ได้ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติได้อย่างมหาศาล ในขณะเดียวกัน ก็สามารถเคลื่อนย้ายเงินจำนวนมากได้โดยไม่เป็นที่น่าสงสัย การทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วของมูลค่าคริปโตส่วนหนึ่งขับเคลื่อนโดยความต้องการคริปโตที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากกลุ่มองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น ผู้ก่อเหตุโจมตีด้วยแรนซัมแวร์

 

คริปโตไม่เพียงแต่เอื้อให้เกิดอันตรายและการแสวงหาผลประโยชน์ทางอาญาในระดับโลกเท่านั้น แต่ยังได้กลายเป็นเครื่องมือทางเลือกสำหรับอาชญากรในการหลีกเลี่ยงภาระภาษีที่อาจเกิดขึ้นเมื่อพวกเขานำกำไรไปผ่านธุรกิจที่มีหน้าร้านจริง 

 

ด้าน Chainalysis บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลบล็อกเชนชั้นนำของโลก ได้เผยแพร่ 2025 Crypto Crime Report ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คริปโตได้กลายเป็นกระแสหลักมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าในอดีตกิจกรรมที่ผิดกฎหมายบนบล็อกเชน (On-chain) จะเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางไซเบอร์เป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันคริปโตยังถูกใช้เพื่อเป็นเงินทุนและอำนวยความสะดวกให้กับภัยคุกคามทุกประเภท ตั้งแต่ความมั่นคงของชาติไปจนถึงการคุ้มครองผู้บริโภค 

 

เมื่อคริปโตได้รับการยอมรับมากขึ้น กิจกรรมที่ผิดกฎหมายบนบล็อกเชนก็มีความหลากหลายมากขึ้นเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ผู้กระทำผิดบางรายดำเนินงานนอกบล็อกเชน (Off-chain) เป็นหลัก แต่ย้ายเงินทุนมาบนบล็อกเชนเพื่อฟอกเงิน

 

ในปี 2024 ที่ผ่านมาอาจเป็นปีที่มีมูลค่าความเสียหายจากอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยคาดการณ์ว่ายอดรวมอาจทะลุ 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.6 ล้านล้านบาท

 

total crptocurrency

 

รายงานฉบับนี้ยังฉายภาพภูมิทัศน์ของอาชญากรรมคริปโตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่ากังวล โดยมีความหลากหลายและเป็นมืออาชีพมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่คริปโตได้ก้าวเข้าสู่กระแสหลัก และถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือสำหรับอาชญากรรมทุกรูปแบบ ไม่ใช่แค่เพียงอาชญากรรมทางไซเบอร์อีกต่อไป

 

แม้ตัวเลขเบื้องต้นที่ Chainalysis สามารถระบุได้สำหรับปี 2024 จะอยู่ที่ 4.09 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งดูเหมือนจะลดลงจากปีก่อนหน้า แต่บริษัทชี้ว่านี่เป็นเพียง ‘การประเมินขั้นต่ำสุด’ (Lower-bound estimate) เท่านั้น

 

โดยอ้างอิงจากแนวโน้มในอดีต ซึ่งตัวเลขการประเมินมักจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเวลาผ่านไปและมีการระบุ Wallet ของมิจฉาชีพได้มากขึ้น เช่น ตัวเลขปี 2023 ถูกปรับเพิ่มขึ้นจาก 2.42 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 4.61 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเวลาเพียงหนึ่งปี 

 

3 เทรนด์อาชญากรรมคริปโตที่ต้องจับตาในปี 2024 – 2025 

 

รายงานได้สรุป 3 แนวโน้มสำคัญของอาชญากรรมคริปโตในปีที่ผ่านมา

  1. Stablecoins กลายเป็น ‘สกุลเงินหลัก’ ของมิจฉาชีพ แตกต่างจากในอดีตที่ Bitcoin (BTC) เป็นสกุลเงินหลักของอาชญากรไซเบอร์ ปัจจุบัน Stablecoins ได้เข้ามาครองสัดส่วนส่วนใหญ่ของปริมาณธุรกรรมที่ผิดกฎหมายทั้งหมดแล้วถึง 63% แม้ว่า Stablecoins จะมีข้อดีในแง่ที่ผู้ออกสามารถอายัดเงินได้ แต่ความต้องการเข้าถึงเงินดอลลาร์สหรัฐและความมีเสถียรภาพของมัน ทำให้กลุ่มอาชญากร โดยเฉพาะหน่วยงานที่ถูกคว่ำบาตร หันมาใช้ Stablecoins เป็นหลัก

 

crime by asset

 

  1. การโจรกรรมและการหลอกลวงยังคงแพร่หลาย โดยการโจรกรรม (Stolen Funds) มูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้น 21% เป็น 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยแฮ็กเกอร์ชาวเกาหลีเหนือยังคงเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุด สร้างความเสียหายถึง 1.34 พันล้านดอลลาร์ หรือ 61% ของยอดรวมทั้งหมด

 

ขณะที่การหลอกลวง (Scams) กลโกงที่สร้างความเสียหายสูงสุดคือการหลอกลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง และ ‘Pig Butchering’ ที่น่ากังวลคือ มีการนำ AI มาใช้ในการหลอกลวงมากขึ้น เช่น การสร้างอีเมลแบล็กเมลทางเพศ ที่มีความเฉพาะบุคคลสูง หรือการใช้ AI เพื่อหลีกเลี่ยงกระบวนการรู้จักลูกค้า (KYC)

 

  1. อาชญากรรมที่ ‘เป็นมืออาชีพ’ และหลากหลายขึ้น ซึ่งอาชญากรรมคริปโตไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโลกไซเบอร์อีกต่อไป แต่ได้ขยายไปสู่อาชญากรรมแบบดั้งเดิม เช่น การค้ายาเสพติด, การพนัน, การค้ามนุษย์และสัตว์ป่า และอื่นๆ นอกจากนี้ ยังเกิดระบบนิเวศที่สนับสนุนการก่ออาชญากรรมอย่างเป็นระบบ โดยมีผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและการฟอกเงินอย่างมืออาชีพ (Laundering-as-a-service)

 

รายงานได้ชี้เป้าไปที่ ‘Huione Guarantee’ ตลาดออนไลน์ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางอำนวยความสะดวกให้กับอาชญากรหลายประเภท ตั้งแต่การขายเทคโนโลยีสำหรับกลโกง Pig Butchering, การฟอกเงิน, ไปจนถึงการให้บริการแก่หน่วยงานที่ถูกคว่ำบาตร โดยมีการประมวลผลธุรกรรมไปแล้วกว่า 7 หมื่นล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ปี 2021 ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของอาชญากรรมคริปโตที่กำลังกลายเป็นอุตสาหกรรมที่มีการจัดการอย่างเป็นระบบและเป็นมืออาชีพมากขึ้น

 

ความเชื่อมั่นต่อ Bitcoin ยังไม่เสื่อมคลาย

 

สัญชัย ปอปลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Cryptomind Advisory และผู้ร่วมก่อตั้ง Cryptomind Group เปิดเผยว่า จากกรณีล่าสุดที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศฟ้องริบ Bitcoin มูลค่ามากถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 5 แสนล้านบาท 

 

สัญชัยเปิดเผยว่า ในมุมความเชื่อมั่น (ต่อ Bitcoin) ยังไม่น่าส่งผลกระทบ แต่สิ่งที่ต้องตามต่อคือแนวทางการจัดการกับ Bitcoin ที่ยึดมานี้ หากพิจารณาจากจุดยืนต่อ Bitcoin ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เชื่อว่า Bitcoin ดังกล่าวอาจถูกเก็บไว้เป็นทุนสำรองของสหรัฐฯ แต่หากท้ายที่สุดสหรัฐฯ ตัดสินใจขาย Bitcoin ดังกล่าวออกมา ก็จะเป็นปัจจัยกดดันราคา Bitcoin ในระยะสั้น 

 

สิ่งที่ต้องติดตามต่อไปหลังจากนี้คือ การขยายผลของสหรัฐฯ เกี่ยวกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเกี่ยวพันของบางผู้ให้บริการ Wallet หรือแม้แต่ศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตที่ถูกใช้เป็นช่องทางในการทำธุรกรรม ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นหรือไม่ 

 

สหรัฐฯ ยึด Bitcoin จาก Prince Group ได้อย่างไร?

 

ณัฐ เหลืองนฤมิตชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดทุน เปิดเผยผ่านบัญชีเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า “หลายๆ คนอาจจะแปลกใจว่า สหรัฐอเมริกาไปยึด Bitcoin มาได้ยังไง Bitcoin มันเป็นอิสรภาพทางการเงินไม่ใช่เหรอ ใครไปยึดมาก็ไม่น่าได้มั้ย คราวนี้ ผมจะมาตอบคำถามเรื่องนี้ให้ครับ”

 

ณัฐอธิบายต่อว่า จากการสรุปบัญชี Bitcoin ที่ต้องการยึดของสหรัฐฯ ได้ตัวเลขรวมที่ 127,000 BTC โดยประมาณ ซึ่งตัวเลขนี้เป็นตัวเลขเดียวกันกับยอดการขโมยเงินของ Bitcoin mining pool ที่มีชื่อว่า Lubian ซึ่งถูกขโมยในปี 2020 

 

สิ่งที่หลายคนสงสัยคือ ทำไมบัญชีนี้ถึงถูกแฮกได้ จนกระทั่งในปี 2023 มีคนค้นพบช่องโหว่ CVE-2023-39910 (https://milksad.info/) ของกระเป๋าสตางค์ที่ชื่อว่า Libbitcoin Explorer แต่ตัวตนของคนขโมย Bitcoin กลับไม่เคยเป็นที่รู้กัน ทางการสหรัฐฯ ก็ไม่เคยออกมายอมรับหรือปฏิเสธว่าเกี่ยวข้องกลับเรื่องนี้ ทว่าเรื่องนี้กลับมาอยู่ในความสนใจกันอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กลับระบุบัญชีเหล่านี้ในเอกสารฟ้องร้อง และอ้างว่ามีสิทธิ์ในการควบคุมบัญชีดังกล่าว

 

ทั้งนี้ ทางการสหรัฐฯ ยังจับ Chen Zhi ไม่ได้ แต่กลับได้มาซึ่ง Bitcoin ที่มีส่วนเกี่ยวพันกับ Prince Group ที่ก่อเหตุหลอกลวงคนจำนวนมาก ถึงแม้ว่าทรัพย์สินเหล่านี้อาจจะพิสูจน์ไม่ได้โดยตรงว่า เป็นเงินที่ได้มาจากการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย 

 

หากศาลตัดสินให้สหรัฐฯ ยึด Bitcoin ดังกล่าวได้ รัฐบาลสหรัฐจะมีทุนสำรองเป็น Bitcoin เพิ่มขึ้นจาก 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ 

 

ณัฐกล่าวต่อว่า สิ่งที่ต้องติดตามต่อหลังจากนี้คือ แนวทางที่สหรัฐฯ จะดำเนินการกับ Bitcoin ที่ยึดมาได้นี้ และการพิสูจน์ความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมทั้งว่าจะมีการชดเชยให้กับผู้ที่เสียหายหรือไม่ เพราะความเสียหายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะคนอเมริกัน 

 

ส่วนกรณีที่ Bitcoin หรือคริปโตถูกใช้เป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรมนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากกลไกการทำงานของคริปโต ซึ่งแตกต่างจากธุรกรรมการเงินทั่วไป แม้ Bitcoin หรือคริปโต จะมีความโปร่งใสทางธุรกรรม แต่ก็มีการปิดซ่อนความเป็นเจ้าของ 

 

“หากเรามองภาพรวมก็จะเห็นเส้นทางเดินบัญชี แม้จะไม่มีการเปิดเผยเจ้าของบัญชี คนที่ไม่ระวังก็จะถูกใช้เส้นทางการเดินบัญชีไปปะติดปะต่อได้ ต่างจากโลกการเงินดั้งเดิมที่เส้นทางเดินบัญชีถูกปิด แต่คนที่เป็นเจ้าของบัญชีจะถูกเปิดเผยระดับหนึ่ง ซึ่งสถาบันการเงินเป็นคนที่มองเห็น”

 

บัญชีคริปโตมีความเป็น ‘Global Account’ หากมีการทำธุรกรรมข้ามประเทศ หากเป็นเงิน fiat จะมีการตรวจสอบที่เข้มข้นทำให้มีร่องรอยเหลือมากกว่า แต่การโอนคริปโตมีร่องรอยน้อยกว่ามาก และบางครั้งสามารถโอนความเป็นเจ้าของบัญชีโดยไม่ต้องโอนเงิน ผ่านการให้ Private Key สำหรับกระเป๋าสตางค์ที่เก็บรักษาคริปโตนั้นๆ 

 

ภาพ: Surasak Suwanmake / Getty Images 

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising