การอภิปรายไม่ไว้วางใจเข้าสู่วันที่ 2 แล้ว หากนับเวลา 42 ชั่วโมงที่จัดสรรในการอภิปราย รวม 4 วัน ต้องบอกว่าวันนี้ (17 กุมภาพันธ์) เข้าสู่ช่วงครึ่งทางของการซักฟอกแล้ว
เปิดฉากไฮไลต์การอภิปรายตั้งแต่ช่วงเช้า จิราพร สินธุไพร ส.ส. ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายเปิดปมกรณีการให้สิทธิ์สำรวจที่ดินกว่า 4 แสนไร่กับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดตเต็ด ลิมิเต็ด เพื่อแลกกับการถอนฟ้อง กรณีเหมืองทองอัครา หลังจากที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ยกเลิกสัมปทานโดยไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมายสากล และถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายคิดเป็นมูลค่าเบื้องต้น 2.53 หมื่นล้านบาท
จากนั้นตามมาด้วย ส.ส. ฝ่ายค้าน คือ นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ชี้ให้เห็นว่า พล.อ. ประยุทธ์ บริหารสถานการณ์โควิด-19 ผิดพลาดอย่างร้ายแรง เพราะขาดวิสัยทัศน์ความใส่ใจ รวมทั้งอาจจะมีปัญหาในเรื่องของไอคิว อีคิว และอีไอ และการที่นายกฯ สารภาพว่าไม่สามารถปราบบ่อนได้ตามที่เคยระบุว่า “100 นายกฯ ก็ทำไม่ได้”
ต่อเนื่องด้วย วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ที่อภิปรายประเด็นวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาล ที่ทำประเทศเสียหาย 8,300 ล้านบาทต่อวัน การบริหารแผนวัคซีนที่ผิดพลาด ทำให้ประชาชนได้วัคซีนล่าช้า และทำให้ปัญหาปากท้องของประชาชนทอดยาวไม่จบสิ้น พร้อมเปิดฐานที่ชี้ชัดว่า ‘บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์’ เป็นเอกชนที่ถูกล็อกชื่อมาตั้งแต่แรก โดยตั้งคำถามว่า เหตุใดจึงแทงม้าตัวเดียวในการจัดหาวัคซีนได้อย่างไร เพราะชุดตรวจโควิด-19 ที่พัฒนาร่วมดันเทคโนโลยีง่ายกว่ายังไม่ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.
ขณะที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส. น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายชี้ให้เห็นว่า มีขบวนการส่วยแรงงานเถื่อน ที่มีความเกี่ยวพันตั้งแต่ระดับพื้นที่จนถึงผู้มีอำนาจระดับสูง และเชื่อมโยงกันทั้งขบวนการแรงงานเถื่อน กลุ่มคาสิโนและกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ เริ่มตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2557 ซึ่งมีการจัดระบบขบวนการส่วยครั้งใหญ่ มีตัวละครเอกเกี่ยวเนื่องชัดเจนตั้งแต่ระดับฐานรากโยงไปยังเจ้าหน้าที่บางราย ไปจนถึงเจ๊ และผู้มีอำนาจ อักษรย่อ ‘ป.’
ขบวนการนี้เชื่อมโยงผู้มีอำนาจในการกำกับดูแลในส่วนนี้ มีการแบ่งงานกันทำ ป.1 รวบอำนาจ ป.2 วางระบบเก็บส่วย เชื่อมโยงกับบิ๊ก ป.4 และมือทำงานในระดับต่างๆ พร้อมกับวางระบบการส่งส่วยจากหัวหน้าทีม ไปยังผู้ดูแลและสุดท้ายไปยังคนสนิทของ ‘บิ๊ก ป.’
ขณะที่วันนี้ พล.อ. ประยุทธ์ และรัฐมนตรี อีกหลายคนได้ลุกขึ้นโต้แย้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านในหลายประเด็น อาทิ กรณีเหมืองทองอัครา ยืนยันว่าไม่ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ปิดเหมืองทองอัครา แต่มีคำสั่งไปถึงทุกเหมืองในประเทศไทย และในการต่อสัมปทานจะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามข้อเรียกร้องของประชาชน ซึ่งบริษัทใดที่แก้ได้ก็จะเปิดปกติ พร้อมย้ำว่าไม่ได้เอื้อประโยชน์ แต่เป็นการมองผลประโยชน์ของชาติและประชาชน
ส่วนประเด็นการจัดหาวัคซีนโควิด-19 พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นนั้นกระทบทั้งโลก ไม่ใช่แค่ประเทศไทยประเทศเดียว แต่เราสามารถควบคุมได้เป็นระยะมาตลอด หลังจากนี้ก็ยังต้องแก้ไขกันต่อไป ยืนยันว่าพวกตนไม่ได้นั่งรอเฉยๆ ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ไม่ได้ทำงานบนจอโทรศัพท์ ดังนั้นถ้าพูดกันแต่ปัญหาความขัดแย้งก็จะไม่เกิดอะไรใหม่ ซึ่งตนก็มีความกังวลว่า ถ้าพูดแต่เรื่องวัคซีนจะทำให้มีปัญหาในการที่เอกชนจะส่งมาหรือไม่ส่งมา โดยไม่อยากให้เอาเรื่องนี้มาเป็นปัญหาการเมือง
ด้าน พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงครั้งแรกในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตอบประเด็นแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายของ นพ.ชลน่าน ว่าจะไปตรวจสอบกรณีขบวนการที่มีการเปิดโปง
ช่วงหนึ่งของการอภิปรายของวิโรจน์ มีการประท้วงจาก ส.ส. ซีกรัฐบาล โดย สิระ เจนจาคะ ส.ส. กรุงเทพมหานคร พลังประชารัฐ ได้ประท้วงพร้อมระบุว่า หากวิโรจน์ไม่หยุดพูดถึงประเด็นที่กล่าวถึงสถาบัน ตนเองจะเดินไปนั่งข้างๆ พร้อมกับเดินเข้าหา แต่มี ส.ส. ซีกรัฐบาลห้ามไว้
ขณะที่ช่วงเช้าสิระได้สร้างสีสันด้วยการนำสร้อยคอทองคำพร้อมล็อกเก็ตภาพ พล.อ. ประวิตร มาโชว์ต่อสื่อมวลชนว่าใส่แล้วจะแคล้วคลาด ก่อนที่ในเวลาต่อมา พล.อ. ประวิตร จะเรียกไปตักเตือน
การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะต่อเนื่องไปจนจบในวันสุดท้ายคือ 19 กุมภาพันธ์ และลงมติในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ประชาชนในฐานะผู้เลือกตัวแทนเข้าไปบริหารประเทศ ทั้งซีกฝ่ายค้านและรัฐบาล คงต้องติดตามต่อไปว่าจะเป็นการอภิปรายที่สมราคาหรือน่าผิดหวัง เหมือนอย่างที่แต่ละฝ่ายได้แสดงออกผ่านสื่อหรือไม่
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
