สร้างปรากฏการณ์สั่นสะเทือนไปทั้งอุตสาหกรรมสื่อและความบันเทิง เมื่อบริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มสตรีมมิงวิดีโอ Disney+ อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น โดยเตรียมให้บริการจริงในสหรัฐอเมริกาวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ สนนราคาสมาชิกที่ 6.99 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 220 บาทต่อเดือน (ยังไม่มีกำหนดการสำหรับการให้บริการในตลาดประเทศอื่นๆ) ด้วยคุณภาพความคมชัดระดับ 4K HDR
บนแพลตฟอร์ม Disney+ จะมีคอนเทนต์จาก Hulu, Hotstar และ ESPN+ รวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ดิสนีย์ก็ไม่ลืมที่จะใส่ออริจินัลคอนเทนต์ที่ผลิตขึ้นเองและเตรียมจะผลิตในอนาคตจากบริษัทในเครือทั้งดิสนีย์, พิกซาร์, มาร์เวล, สตาร์วอร์ส และรายการสารคดีของเนชันแนล จีโอกราฟิก มาออนแอร์ทั้งบนโทรทัศน์และสมาร์ทโฟน เช่นเดียวกับ The Simpsons ที่เพิ่งปิดดีลมาจาก 21st Century Fox
ตัวอย่างคอนเทนต์ที่ห้ามพลาดบน Disney+ เช่น The Falcon and The Winter Soldier ซีรีส์เรื่องราวของสองฮีโร่อย่าง ฟอลคอน และวินเทอร์ โซลเยอร์, WandaVision ซีรีส์เรื่องราวของ แวนดา แม็กซิมอฟฟ์ และเดอะ วิชัน, Loki ซีรีส์ที่เจาะลึกเรื่องราวของ โลกิ (นำแสดงโดย ทอม ฮิดเดิลสตัน) สารคดีการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชัน Into the Unknown: Making Frozen 2 เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีออริจินัลคอนเทนต์น่าสนใจอีกเป็นจำนวนมากที่ดิสนีย์วางแผนว่าจะผลิตต่อจากนี้
เควิน เมเยอร์ ประธานฝ่าย Direct-to-Consumer และ International ประจำบริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์ กล่าวว่า “พวกเราตื่นเต้นเป็นอย่างมากกับการขยายพอร์ตโฟลิโอของบริษัทนำเสนอผลิตภัณฑ์สู่ผู้บริโภคด้วยบริการ Disney+ ซึ่งจะทำให้เราสามารถนำเสนอความบันเทิงที่ยอดเยี่ยมในวิธีการใหม่ๆ ให้กับผู้ชมทั่วโลก
“เราจะพัฒนาประสบการณ์การใช้งานให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องด้วยแผนการที่มั่นคงในการสร้างสรรค์รายการคุณภาพเพื่อให้บริการดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น”
ทั้งนี้คาดการณ์กันว่าบริการ Disney+ จะพร้อมให้บริการที่สหรัฐอเมริกาเป็นที่แรกในเดือนพฤศจิกายนนี้ ก่อนจะขยายไปให้บริการในตลาดยุโรปช่วงปลายปีนี้หรือต้นปี 2020 และน่าจะพร้อมให้บริการในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกภายในอีก 2 ปีต่อจากนี้ โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ preview.disneyplus.com/th/
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
