แบรนด์เครื่องสำอาง Dior จัดงานสุดยิ่งใหญ่แห่งปี โดยเนรมิต Dior Rose Gallery ที่จำลองมาจากบ้านและสวนของมิสเตอร์คริสเตียน ดิออร์ ณ เมือง Granville นอร์มองดี มาไว้ที่ Park Hyatt กรุงเทพฯ ทำให้ทั่วทั้งงานอบอวลไปด้วยดอกกุหลาบสีชมพูแสนสวยที่มาพร้อมกลิ่นหอมอันเป็นเสน่ห์เฉพาะในแบบฉบับของ Dior พร้อมกันนี้ยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด Dior Prestige La Crème เป็นครั้งแรกในไทย โดยมีเหล่าเซเลบริตี้ นักแสดง และกูรูความงามมาร่วมสัมผัสประสบการณ์เยี่ยมชม Dior Rose Gallery ในบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุขท่ามกลางสวนดอกกุหลาบที่สวยงาม นอกเหนือจากดอกกุหลาบทั้งหมดแล้ว กลิ่นหอมๆ ภายในงานทางแบรนด์ก็ได้นำหัวน้ำหอมที่เป็นนำ้หอมจากกุหลาบพันธุ์พิเศษ Granville ส่งตรงจากฝรั่งเศส ทำให้ได้สัมผัสกับบรรยากาศและกลิ่นอายแบบฝรั่งเศสจริงๆ
ต้นกำเนิดเรื่องราวของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว Dior Prestige
Rose De Granville ถือกำเนิดขึ้นจากดอกกุหลาบป่ายืนต้นอันทรงพลังที่อาศัยอยู่บนผาหิน ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากกุหลาบไฮบริดสายพันธุ์อื่นกว่า 40,000 ชนิด เพราะความอุดมสมบูรณ์ด้านโมเลกุล Rose De Granville ที่มีพลังอยู่เหนือกาลเวลา เป็นกุหลาบชนิดแรกที่ได้รับการพัฒนาขึ้นสำหรับเครื่องสำอางบำรุงผิวของ Dior โดยเฉพาะ และเป็นส่วนผสมหลักในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว Dior Prestige ซึ่งต้องใช้กระบวนการเพาะปลูกเฉพาะเพื่อให้ได้มาซึ่งสารสกัดที่มีศักยภาพสูงสุดของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตัวใหม่อย่าง Dior Prestige La Crème สิ่งที่น่าสนใจคือในปี 2021 Rose De Granville เริ่มเพาะปลูกขึ้นโดยอยู่ห่างจาก Villa Les Rhumbs บ้านในวัยเด็กของ คริสเตียน ดิออร์ ซึ่งตั้งอยู่ในลุ่มน้ำ Granville เพียง 20 กิโลเมตร ที่นี่เป็นดั่งสวรรค์แห่งความสงบสุขของเขา Dior ก็เป็นเจ้าของพื้นที่เพาะปลูกขนาด 6 เฮกตาร์ กลางทุ่งหญ้าเขียวขจีที่อยู่ในสภาพตามธรรมชาติแห่งนี้ ที่ตั้งใจสร้างเป็นสวนกุหลาบที่สงวนไว้สำหรับสกินแคร์ในกลุ่ม Dior Prestige เท่านั้น พื้นที่เพาะปลูกตามธรรมชาติแห่งนี้ประกอบด้วยที่ดิน 20 แปลง สำหรับปลูก Rose De Granville และเป็นการลงทุนครั้งสำคัญที่ก้าวไปไกลกว่าการเกษตรรูปแบบธรรมดา นั่นสะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงของ Dior Prestige ที่ตั้งใจจะแปลงโฉมที่ดินผืนนี้ให้กลายเป็นตัวอย่างของการพัฒนาที่ยั่งยืนในเวลาเดียวกัน
การเกษตรรูปแบบยั่งยืนที่สืบทอดความเชี่ยวชาญหนึ่งเดียวในโลก
พุ่มกุหลาบมากกว่า 50,000 พุ่ม ที่มาของผลิตภัณฑ์ Dior Prestige La Crème ดูแลอย่างใกล้ชิดโดย Nicolas Sambet นักเพาะพันธุ์กุหลาบประจำสวนดิออร์แห่งใหม่ เขาผ่านการฝึกอบรมโดย Jérôme Rateau* ผู้พัฒนาสายพันธุ์กุหลาบ Granville โดยใช้หลักการของ André Eve เหตุนี้ Dior Rose Garden จึงกลายเป็นจุดศูนย์รวมแห่งการสืบทอดความเชี่ยวชาญ ซึ่ง Jérôme Rateau ได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มการเกษตรอินทรีย์ มีความคิดในการปลูกกุหลาบและไม้ยืนต้นร่วมกันเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศทางธรรมชาติของพืช และยกเลิกการใช้ปุ๋ยเคมี หลักการเหล่านี้เป็นรากฐานการเพาะปลูก Rose De Granville ที่กำลังเติบโตในสวนโดยปราศจากการใช้ปุ๋ยเคมีหรือยาฆ่าแมลง เพื่อมอบสารออกฤทธิ์อันทรงพลังและบริสุทธิ์จากแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติให้กับสกินแคร์ กระบวนการเพาะปลูกที่เป็นมิตรต่อพืช มนุษย์ และธรรมชาติ ทำให้การเพาะปลูก Rose De Granville ครั้งนี้เป็นแนวทางการเกษตรกรรมแบบยั่งยืน และต้นกำเนิดของดอกกุหลาบที่นำมาใช้รังสรรค์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของ Dior
Dior Prestige กับการเปลี่ยนแปลงสำคัญด้านความยั่งยืน
หากถือ Dior Prestige La Crème ไว้ในมือ จะรู้สึกได้ว่ามีน้ำหนักเบา ซึ่งผ่านการออกแบบให้น้ำหนักโดยรวมของผลิตภัณฑ์ลดลง 20% กระปุกมีความเพรียวบางและน้ำหนักกระจกที่เบาลงถึง 32% ส่วนตัวรีฟิลก็ดำเนินการตามแนวทางนี้เช่นกัน โดยน้ำหนักโดยรวมลดลงถึง 48% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น มีการใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ เช่น แก้วและกระดาษแข็ง คิดเป็น 83% ของบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด การเปลี่ยนจากการทำเครื่องหมายด้วยสีทองเมทัลลิกด้วยวิธี Hot Stamping เป็นการพิมพ์ด้วยหมึกออร์แกนิกสีดำนั้นช่วยเพิ่มความสามารถในการรีไซเคิลของกระปุกแก้ว และช่วยจำกัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการพิมพ์ ขณะเดียวกัน กล่องของ La Crème ยังประกอบด้วยกระดาษแข็งรีไซเคิล 100% และกระดาษ FSCTM แผ่นพับกระดาษถูกนำออกและแทนที่ด้วย QR Code สำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในครั้งนี้ กระบวนการรีฟิลได้รับการปรับปรุงและลดผลกระทบให้เหลือน้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การปล่อย CO2 ลดลงเกือบ 50% จากการรีฟิลครั้งแรก และมากกว่า 70% ในครั้งที่สาม เมื่อเทียบกับการซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยแนวทางนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของ Dior ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย
ประสิทธิภาพการบำรุงผิวของ Dior Prestige La Crème
Dr.Virginie Couturaud ผู้อำนวยการด้านการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ของ Parfums Christian Dior ที่มีส่วนสำคัญในการค้นคว้าขั้นตอนพัฒนาการสกัดกุหลาบ Rose De Granville ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะจาก Dior ได้กล่าวว่า “การที่เราอยากได้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ดีที่สุดต้องผ่านกระบวนการมากมาย เริ่มจากการเก็บเกี่ยว Rose De Granville มาสดๆ แล้วนำมาผ่านการสกัดเย็นในสวนโดยตรงด้วยเครื่องสกัดในแบบ Electromagnetic Waves (การผ่านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) จากนั้นนำไปใส่เครื่องปั่นเหวี่ยงในห้องปฏิบัติการ จนสามารถแยกโมเลกุลทั้ง 88 ชนิดออกมาได้ และโมเลกุลก็จะถูกนำไปผสมกับน้ำเลี้ยงและเปปไทด์อีก 2 ชนิด จนได้เป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘Rosapeptide’ ซึ่งมันคือสารสกัดเข้มข้นและบริสุทธิ์ระดับสูง สามารถฟื้นบำรุงผิวได้ลึกถึง 3 ชั้น ช่วยส่งเสริมกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจนในชั้นผิว การสังเคราะห์ลิพิดและเซราไมด์บนผิวชั้นนอก ทำให้รู้สึกผิวแข็งแรง รู้สึกแน่นกระชับขึ้น”
“สาร Active Ingredient ที่เป็นสารออกฤทธิ์แต่ก่อนจะมีแค่ 8 ชนิด แต่ปัจจุบันมีถึง 88 ชนิด ซึ่งมันช่วยในการย้อนวัยให้ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ โดยเราจะเป็นพาร์ตเนอร์กับสถาบันหรือมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงเป็นที่มาของการค้นพบ Rosapeptide ของเรา พออายุเรามากขึ้น ผิวก็จะสูญเสียความกระชับ และเริ่มเห็นริ้วรอยที่ชัดเจนขึ้น แต่เราก็มีทางแก้ให้กับทุกคน ซึ่งทาง Dior มีการจำลอง Bio Painting ออกมาเป็นผิวของคนที่อายุน้อยกับผิวของคนที่อายุมากให้ได้เห็นกันเลย และดัชนีชี้วัดก็พบว่า Rosapeptide ช่วยย้อนวัยให้ผิวดูสมบูรณ์มากขึ้นได้ แม้ว่ามันจะไม่ได้ย้อนถึงขนาดที่ว่าคนอายุ 50 ปี ดูย้อนวัยไปเหมือนคนอายุ 20 ปี แต่ว่ามันจะช่วยให้ผิวกลับไปอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด โดยทั่วไปเวลาเราใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอะไรสักอย่าง มันก็จะทำงานที่ชั้นผิวใดชั้นผิวหนึ่ง แต่สาร Rosapeptide ของเราสามารถทำงานในทั้ง 3 ชั้นผิวพร้อมกันทีเดียวเลย”
ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นความประทับใจของผู้มาร่วมงาน รวมถึงเหล่าเซเลบริตี้ต่อไปนี้ที่ได้เปิดใจถึงความรู้สึกของพวกเขาในการมาร่วมสัมผัสกับประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟในงาน Dior Rose Gallery ดังนี้
แพทย์หญิงอังศ์วรา ธีระตันติกานนท์
“เอิงประทับใจใน Dior Prestige La Crème คือเรื่องความชุ่มชื้นของเนื้อครีมและมีกลิ่นที่หอมมาก และแบรนด์ Dior ไม่ได้ให้ความสำคัญแค่คุณภาพของครีมเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการรักษ์โลกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการปรับมาใช้น้ำหนักของแก้วที่ลดลง เนื้อแก้วบางลง เป็นการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับหลายๆ แบรนด์หันมาเห็นความสำคัญของเรื่องนี้”
สกาย-วงศ์รวี นทีธร
“งาน Dior Rose Gallery จำลองสวนดอกกุหลาบจากบ้านเกิดของมิสเตอร์คริสเตียน ดิออร์ ทั้งบริเวณบ้านและสวนจากเมือง Granville นอร์มองดีมาไว้ที่งานนี้ และมีโซนวิทยาศาสตร์ที่สามารถเดินชมแกลเลอรีที่เปิดเผยกระบวนการและขั้นตอนการวิจัยผลิตภัณฑ์ด้วย ผลิตภัณฑ์ Dior Prestige La Crème ผ่านการคิดค้นของนักวิทยาศาสตร์ที่ใช้สารสกัดที่มาจากดอกกุหลาบพันธุ์พิเศษ Granville ซึ่งน่าใช้มากครับ”
“การเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับ Dior Prestige La Crème ที่ผมประทับใจคือการให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย ในความรู้สึกผม ผมว่าคนเราอยากหล่อ อยากสวยได้โดยที่ไม่ต้องทำลายสิ่งแวดล้อม การที่เราอยากเป็นส่วนหนึ่งในการลดโลกร้อนก็ทำได้ง่ายๆ เช่นเวลาจะเลือกใช้ครีม ก็ควรจะพิจารณาว่าแบรนด์ไหนบ้างที่เขาใส่ใจเรื่องส่วนผสม การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ และไม่กระทบเรื่องสิ่งแวดล้อม”
อิน-สาริน รณเกียรติ
“ความรู้สึกแรกที่ผมนึกถึงคำว่าคริสเตียน ดิออร์ คือความเป็นผู้หญิง ผมคิดถึงภาพของผู้หญิงที่สวย สะอาด มีความหรูหราในตัว เหมือนบรรยากาศในงานเลยครับที่เต็มไปด้วยความสวยงามจริงๆ และยังเป็นครั้งแรกในการเปิดตัว Dior Prestige La Crème ด้วย เนื้อครีมหอมกลิ่นดอกกุหลาบ และทราบมาว่าแบรนด์เขาให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมด้วย”
“การได้เห็นบรรยากาศของ Dior Rose Gallery จึงให้ความรู้สึกเหมือนได้มองเห็นเรื่องราวที่มาของการพัฒนาผลิตภัณฑ์จนกลายมาเป็นครีม Dior Prestige La Crème และ Dior ก็หันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น เป็นเรื่องที่ดีมาก การที่แบรนด์ใหญ่เริ่มต้นทำอะไรสักอย่างที่ช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมมันเป็น Soft Power ที่จะกระตุ้นให้แบรนด์ต่างๆ หันมาตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมไปด้วยกันได้ครับ”
ภณ-ณวัสน์ ภู่พันธัชสีห์
“บรรยากาศต่างๆ ภายในงาน Dior Rose Gallery มีความหรูหราสวยงาม ผมรู้สึกเหมือนได้ไปเยี่ยมชมสวนกุหลาบของมิสเตอร์คริสเตียน ดิออร์ จริงๆ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ดอกกุหลาบเต็มไปหมด ซึ่งดอกกุหลาบก็เป็นที่มาของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว Dior Prestige La Crème รุ่นใหม่ ที่สำคัญนี่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมความงามที่สามารถย้อนวัยให้ผิวได้ด้วย ผมก็รู้สึกดีใจนะครับที่ Dior ก็เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง Sustainability ด้วย ทั้งการออกแบบแพ็กเกจจิ้งใหม่ให้แก้วบางลง และสามารถรีฟีลได้ด้วย ซึ่งช่วยลดโลกร้อนได้อีกทางหนึ่ง”
แคท-ซอนญ่า สิงหะ
“แคทเป็น Big Fan คนหนึ่งของแบรนด์ Dior อยู่แล้วค่ะ เพราะผ่านการใช้สกินแคร์ทุกไลน์ของ Dior รู้สึกประทับใจในผลลัพธ์มากๆ ยิ่งพอได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวอย่าง Dior Prestige La Crème เป็นสูตรใหม่ที่ดีกว่าเดิม และยังมีผลการวิจัยออกมาแล้วว่าหากใช้ครีมสูตรใหม่นี้ติดต่อกันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ จะช่วยทำให้ผิวแลดูเด็กลงได้หลายปีเลยค่ะ ซึ่งเป็นผลวิจัยที่น่าตื่นเต้นมาก และพอได้ลองเนื้อครีมก็พบว่าหอมกลิ่นดอกกุหลาบมาก”
“นอกจากเรื่องคุณภาพของ Dior Prestige La Crème ที่การันตีขนาดนี้แล้ว ก็ยังมีเรื่องรายละเอียดของแพ็กเกจจิ้งที่น่าสนใจมากๆ ด้วย เช่น มีการออกแบบให้เป็นเหมือน High Jewelry เลย และแพ็กเกจของเขาถ้าเราใช้ครีมหมดแล้ว สามารถเปลี่ยนรีฟีลได้โดยที่ไม่ต้องทิ้งกระปุกเลย ซึ่งเป็นการช่วยลดปริมาณขยะจากบรรจุภัณฑ์ของเครื่องสำอาง ช่วยลดภาวะโลกร้อนไปในตัวด้วยค่ะ”
- สำหรับผลิตภัณฑ์ Dior Prestige La Crème เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว ขนาด 15 ml. ราคา 5,200 บาท (ขนาด 15 ml. จำหน่ายเฉพาะช่องทางออนไลน์เท่านั้น) ขนาด 50 ml. ราคา 15,000 บาท และรีฟีลขนาด 50 ml. ราคา 13,500 บาท สามารถช้อปได้ ณ เคาน์เตอร์ Dior ทุกสาขา รวมถึงช่องทางออนไลน์ Shop.dior.co.th และ Line Official @diorthailand