×

ดิเอโก มาราโดนา อัจฉริยะลูกหนังสุดขั้วผู้หวนกลับคืนสู่หัตถ์ของพระเจ้า

26.11.2020
  • LOADING...
ดิเอโก มาราโดนา อัจฉริยะลูกหนังสุดขั้วผู้หวนกลับคืนสู่หัตถ์ของพระเจ้า

HIGHLIGHTS

8 mins read
  • ดิเอโก มาราโดนา คือสุดยอดนักเตะผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลผู้มีสถานะเทียบเท่ากับ เปเล่ ราชาลูกหนังชาวบราซิล 
  • มาราโดนาคือเจ้าของลีลาการเล่นมหัศจรรย์ที่กลายเป็นแรงบันดาลใจของยุคสมัย มีเด็กๆ มากมายที่เติบโตขึ้นมาโดยดูเขาเป็นแบบอย่างในการเล่นฟุตบอล แม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำนั้นจะเป็นสิ่งที่เด็กๆ ทั่วโลกทำได้เพียงในจินตนาการเท่านั้น
  • ความสำเร็จสูงสุดของชีวิตการเล่นคือการพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1986 ได้ แต่ตำนานที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันของมาราโดนาคือการพานาโปลี สโมสรที่ไม่เคยมีเกียรติประวัติใดๆ คว้าสคูเดตโตได้ถึง 2 สมัย และทั้งหมดถูกจดจำว่าเกิดขึ้นได้เพราะมาราโดนา

ดิเอโก มาราโดนา คือนักฟุตบอลผู้เป็นที่สุดในทุกสิ่ง

 

ขาวที่สุด ดำที่สุด เก่งที่สุด โกงที่สุด

 

และเป็นที่รักมักที่ชังที่สุด

 

‘เอล ดิเอโก’ หรือ ‘ดอน ดิเอโก’ ปรากฏในความทรงจำของผู้คนมากมาย และมีไม่น้อยที่รับเอาตัวตนและเรื่องราวของเขาเก็บเอาไว้ข้างในหัวใจอย่างดี

 

ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงใด ภาพของมาราโดนาในความทรงจำนั้นก็ยังชัดอยู่ดี

 

อัจฉริยะลูกหนังผู้นี้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ที่ราวกับว่าฟ้าประทานทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับการเล่นฟุตบอลมาให้กับเขา แม้ว่าชีวิตในวัยเยาว์ที่วิลลา ฟิโอริโต เมืองชายขอบของบัวโนสไอเรส นครหลวงแห่งอาร์เจนตินา จะลำบากยากเข็ญแค่ไหนก็ตาม

 

ฟุตบอลคือเพื่อนแท้ของมาราโดนาเสมอ เขาและลูกกลมๆ เข้าใจกันราวกับเป็นเพื่อนที่อยู่เคียงกันมาตลอดชีวิต

 

เพื่อนที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆ ก็เข้าใจ

 

ความสามารถในการเล่นกับฟุตบอลของเขาเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และไม่แปลกที่มันจะสะดุดตาใครต่อใครเข้าโดยง่ายดาย

 

คนแรกคือ โกโย การ์ริสโซ ไอ้หนูนักเตะดาวเด่นในทีมเยาวชนชุดอายุตำ่กว่า 8 ปีของอาร์เจนติโนส จูเนียร์ส ผู้ขันอาสาบอกโค้ชว่าเขารู้จักใครคนหนึ่งที่เก่งยิ่งกว่าตัวเขาอีก และขอโอกาสให้พามาทดสอบฝีเท้าเพื่อเข้าร่วมทีมด้วยอีกคนได้ไหม

 

คนต่อมาคือ ฟรานซิสโก กอร์เนโฆ โค้ชทีมชุดดังกล่าวผู้ได้เห็นความมหัศจรรย์ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นดังปาฏิหาริย์ของชีวิตอยู่ตรงหน้า จากเด็กน้อยอายุ 8 ขวบคนหนึ่งที่ทำในสิ่งที่น่าเหลือเชื่อของคนอื่น แต่เป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญสำหรับเขา

 

จากสองคนนี้ก็นำไปสู่แฟนฟุตบอลมากมายของทีมอาร์เจนติโนส จูเนียร์ส ที่ต้องการเห็นความมหัศจรรย์นี้ในทุกช่วงพักครึ่งเวลา

 

จนถึงวันที่เขาได้โอกาสในการลงประเดิมสนามให้กับต้นสังกัด ทั้งๆ ที่อายุเพิ่งจะย่างเข้า 15 ปี

 

ต่อด้วยติดทีมชาติชุดใหญ่ด้วยวัย 16 ปี

 

เป็นเจ้าของสถิตินักฟุตบอลค่าตัวแพงที่สุดในโลกด้วยวัยเพียง 21 ปี เมื่อย้ายจากโบคา จูเนียร์ส ไปอยู่กับบาร์เซโลนาในปี 1982

 

และได้เป็นเจ้าของสถิติโลกอีกครั้งเมื่อย้ายจากบาร์เซโลนาไปอยู่กับบาเลนเซียในอีก 2 ปีต่อมา เป็นนักฟุตบอลคนแรกของโลกที่ได้เป็นเจ้าของสถิติโลกในการย้ายทีม 2 ครั้ง ในยุคสมัยที่การย้ายทีมของนักฟุตบอลไม่ใช่จะทำลายสถิติกันง่ายเหมือนทุกวันนี้

 

มาราโดนาได้รับบทบาทของผู้เล่นหมายเลข 10 ซึ่งเป็นหมายเลขที่มีความสำคัญสำหรับเกมฟุตบอลในวันวาน โดยเฉพาะสำหรับทีมบนแผ่นดินลาตินอเมริกา เพราะนี่คือตำแหน่งของตัวทำเกม (Playmaker) ที่มีหน้าที่สร้างสรรค์เกมรุกให้กับทีม 

 

ตามความเข้าใจโดยพื้นฐานแล้ว คนที่รับบทนี้ย่อมเป็นคนที่เก่งที่สุดของทีม

 

ท่ามกลางหมายเลข 10 ในความทรงจำมากมายที่เกิดขึ้นในเกมฟุตบอล เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่ามาราโดนาคือนักฟุตบอลหมายเลข 10 ของหมายเลข 10 อีกที

 

แม้รูปร่างจะเล็ก ท่วงท่าจะไม่ได้สง่างามเหมือนนักเตะอย่าง มิเชล พลาตินี หรือซิโก้ แต่การเล่นของมาราโดนาเป็นการเล่นที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์

 

ตั้งแต่การสัมผัสบอล การครอบครองบอล การพาบอลไปกับตัว เทคนิคการเลี้ยงบอลในที่แคบซึ่งยากที่ใครจะดักทางได้ ไหวพริบในการเอาตัวรอด เซนส์ฟุตบอลอันสูงส่งที่ทำให้ทุกอย่างที่ทำนั้นดูเหมือนเป็นเรื่องอัตโนมัติ

 

หรือถ้ามีใครใส่เอฟเฟกต์วิบวับให้เหมือนกับมีเทวดานางฟ้าขอร่ายพรให้มาราโดนาในแต่ละจังหวะการเล่น ก็ชวนให้เชื่อได้เหมือนกันว่ามันอาจจะเป็นเรื่องจริง

 

อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับมาราโดนาซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิดคือความกล้าหาญและหัวใจที่เป็นอิสระ

 

ไม่มีอะไรจะหยุดเขาได้ ถ้าเขาคิดจะไป

 

มาราโดนาพร้อมจะฝ่าคู่แข่งทุกคนเข้าไปทำประตูเสมอ

 

ต่อให้รู้ว่าคู่แข่งจะพยายามหยุดเขาแค่ไหน ต่อให้รู้ว่าอาจต้องเจ็บตัวด้วยสารพัดวิธีที่คู่ต่อสู้ตั้งท่ารอที่จะต้อนรับเขาให้สาสม แต่มาราโดนาไม่เคยกลัวที่จะเผชิญหน้า ไม่ว่าจะต้องเจอกับใครก็ตาม

 

ความกล้าหาญนั้นจึงทำให้เราได้เห็นการเล่นที่เหลือเชื่อหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงประตูแห่งศตวรรษที่ 20 ในฟุตบอลโลก 1986 กับทีมชาติอังกฤษ ด้วยการลากบอลจากกลางสนามแหวกผู้เล่น 5 คนเข้าไปยิงผ่าน ปีเตอร์ ชิลตัน ซึ่งเป็นประตูชัยให้อาร์เจนตินาคว้าชัยชนะที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติได้

 

ชัยชนะที่เกิดขึ้นหลังสงครามของเกาะมัลบีนัสหรือเกาะฟอล์กแลนด์ระหว่างอาร์เจนตินาและอังกฤษเพิ่งจบลงไปได้ไม่นาน

 

และเป็นชัยชนะที่ทำให้คำทำนายที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1928 กลายเป็นความจริง

 

คำทำนายนั้นเป็นของ โบโรโคโต บรรณาธิการของนิตยสารฟุตบอลเก่าแก่ El Gráfico ที่กล่าวถึงอนาคตของวงการฟุตบอลอาร์เจนตินา ซึ่งในช่วงเวลานั้นเกมฟุตบอลคือสิ่งที่ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชาติที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในยุคการล่าอาณานิคมของอังกฤษ

 

ยามนั้นผู้คนที่อพยพมาจากอังกฤษได้เรียนในโรงเรียนอังกฤษ จะเล่นฟุตบอลกันบนสนามหญ้าสีเขียว และด้วยสนามที่กว้างใหญ่ทำให้ฟุตบอลแบบชาวผู้ดีจะเน้นไปที่พละกำลัง พลัง และการวิ่งเป็นหลัก

 

สิ่งเหล่านี้ตรงข้ามกับคนอาร์เจนไตน์ที่เรียนรู้การเล่นฟุตบอลที่ Potreros หรือพื้นที่ว่างเล็กๆ ในสลัมที่พอจะหวดลูกหนังใส่กันได้เท่านั้น แต่แม้พื้นที่จะเล็ก คนจะเยอะ จะเล่นกันหนักหน่วงแค่ไหนก็ไม่มีใครห้าม นอกจากจะปรามกันเอง มันกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสไตล์การเล่นแบบอาร์เจนตินาที่เฉลียวฉลาด เอาตัวรอดได้เก่ง เทคนิคการเล่นสูงส่ง

 

และสำคัญที่สุดคือไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ

 

โบโรโคโตกล่าวถึงจิตวิญญาณเกมฟุตบอลของชาติที่เกิดจาก Potreros ว่าจะนำความยิ่งใหญ่มาสู่ชาติ และทำนายว่าจะมีสายเลือดของนักเตะจากสลัมที่มีใบหน้าสกปรก มีทรงผมที่ไม่ต้องใช้หวีให้วุ่นวาย ฉลาด กล้าหาญ เจ้าเล่ห์เพทุบาย สายตาที่เข้มแข็ง ฟันเล็กจนอาจจะร่วงได้หากกัดขนมปังเก่าที่ค้างคืนมาตั้งแต่เมื่อวาน

 

แต่เด็กคนนี้จะเป็นคนที่พาอาร์เจนตินาสู่ความยิ่งใหญ่

 

นั่นทำให้ดูเหมือนว่ามาราโดนาจะเป็นเด็กในคำทำนายของโบโรโคโตผู้หยั่งรู้อนาคต ซึ่งหลังปลดแอกทางความรู้สึกจากชัยชนะเหนืออังกฤษได้แล้ว เด็กหนุ่มจาก Protreros ได้พาทีมอัลบิเชเลสเต (ฟ้า-ขาว) คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 2 ของชาติได้สำเร็จ

 

คำทำนายนั้นจึงได้รับการเติมเต็ม

 

แต่มาราโดนาไม่ได้เป็นเพียงแค่เด็กผู้ทำให้คำทำนายเป็นจริงเท่านั้น เพราะเขาก้าวไปสู่สถานะที่สูงกว่านั้นในประเทศอิตาลี

 

2 ปีที่บาร์เซโลนาซึ่งเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเขาจบลงอย่างน่าอดสูเมื่อเกิดเหตุอัปยศขึ้นในเกมนัดชิงโกปา เดล เรย์ ที่สนามซานติเอโก เบอร์นาบิว ในกรุงมาดริด

 

มาราโดนาซึ่งเคยโชคร้ายบาดเจ็บถึงขั้นข้อเท้าหักจากการเข้าสกัดผิดจังหวะของ อันโดนี กอยโคเชีย นักเตะแอธเลติก บิลเบา ได้แผลจากคู่กรณีคนเก่าอีกครั้ง เมื่อรวมคำถากถางดูถูกเหยียดหยามมากมายลามไปถึงพ่อจากแฟนบอลคู่แข่ง และการยั่วยุของ มิเกล โซลา ทำให้อัจฉริยะลูกหนังบันดาลโทสะ

 

เหตุการณ์ดังกล่าวจบลงด้วยการตะลุมบอนของผู้เล่นสองฝ่ายและกองเชียร์สองฝั่ง จนมีผู้คนได้รับบาดเจ็บมากถึง 70 คน

 

และเรื่องนี้เกิดขึ้นต่อหน้ากษัตริย์ฆวน คาร์ลอส 

 

เหตุการณ์นี้ทำให้ โจเซฟ หลุยส์ นูนเยซ ประธานสโมสรบาร์เซโลนาในขณะนั้นตัดสินใจปล่อยตัวมาราโดนาออกจากทีมทันที โดยเป็น นาโปลี สโมสรที่ไม่เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดของอิตาลีมาก่อนมารับช่วง

 

ที่นาโปลีนี่เองที่เขาก้าวไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตการเล่น โดยหลังการเปิดตัวท่ามกลางแฟนบอลกว่า 75,000 คนที่เข้ามาในสนามซานเปาโล มาราโดนารู้ในทันทีว่าเขาพบ ‘บ้าน’​ แล้ว

 

มาราโดนาพบ ‘บ้าน’ อีกแห่งของเขาที่นาโปลี

 

ในยุคนั้น ทีมที่ครองความยิ่งใหญ่ของวงการฟุตบอลอิตาลีคือสโมสรทางตอนเหนือของประเทศอย่างเอซี มิลาน และอินเตอร์ มิลาน, ยูเวนตุส แห่งตูริน รวมถึงโรมาแห่งเมืองหลวง ไม่มีสโมสรจากทางตอนใต้ของประเทศที่เคยได้แชมป์มาก่อนเลย

 

แต่เพราะมาราโดนาทำให้นาโปลีกลายเป็นทีมมหัศจรรย์ เขารับมอบปลอกแขนกัปตันทีมต่อจาก จูเซปเป บรุสโคล็อตติ และแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างของทีม

 

ด้วยความอัจฉริยะและความกล้าหาญของเขา ทำให้ผู้คนชาวนาโปลิตันส์ (ชาวเมืองนาโปลี) ที่แสนเจียมตัวเริ่มสัมผัสถึงความรู้สึกที่แตกต่าง พวกเขาเริ่มรู้จักที่จะฝัน

 

จนในที่สุดฝันนั้นก็กลายเป็นจริง เมื่อมาราโดนาพาทีมคว้าสคูเดตโตได้สำเร็จ และไม่ใช่เพียงครั้งเดียว แต่เป็นถึง 2 ครั้งในฤดูกาล 1986-87 และ 1988-89 ซึ่งยังคงเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทีมมาจนถึงปัจจุบันด้วย

 

ดังนั้นมาราโดนาจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ ‘จิตวิญญาณ’ ของชาวอาร์เจนตินา

 

แต่เขาคือ ‘พระเจ้า’ ของชาวนาโปลีด้วย

 

สิ่งที่น่าเสียดายในสายตาคนนอกคือนิสัยสุดโต่งของมาราโดนาที่ทำให้ชีวิตของเขาประสบปัญหา และยิ่งก้าวขึ้นไปสูงมากขึ้นเท่าไรก็มีคนที่รอจะกระชากเขาให้ตกลงมาบาดเจ็บมากขึ้นเท่านั้น

 

เพียงแต่คนเดียวที่จะยอมให้เขาตกต่ำได้ก็คือตัวเขาเอง และด้วยวิถีการดำเนินชีวิตแบบสุดเหวี่ยง เหล้ายาปลาปิ้ง หญิงสาว และเลวร้ายที่สุดคือยาเสพติด ได้ค่อยๆ บ่อนทำลายชีวิตที่รุ่งโรจน์ของเขา

 

ปีกเทวดาที่เคยติดอยู่บนแผ่นหลังนั้นค่อยๆ ร่วงหล่นจนไม่เหลือขนที่จะพัดพาเขาขึ้นที่สูงได้อีกต่อไป

 

มาราโดนาตกเป็นผู้ร้ายของโลกเมื่อถูกตรวจพบว่าใช้โคเคนจนโดนลงโทษแบน 15 เดือนในปี 1991 และทำให้นาโปลีจำเป็นต้องตัดเนื้อร้ายอย่างเขาออกจากทีม แต่ก็มีการประกาศยกเลิกการใช้เสื้อหมายเลข 10 ที่เป็นตัวแทนของเขาตลอดไป

 

วันเวลายังได้พรากพละกำลังและความปราดเปรียวไปด้วย มาราโดนาในบั้นปลายไม่สามารถที่จะลากบอลทะลุทะลวงแหวกแนวรับ ท้าดวลกองหลังได้อย่างสบายใจเหมือนเดิม เพียงแต่ด้วยความเป็นเสือ เขายังเหลือลายมากพอที่จะช่วยทีมได้เสมอ

 

แต่สุดท้ายพฤติกรรมส่วนตัวของเขาก็ทำให้มาราโดนาต้องปิดฉากการเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนตินาที่เขารักอย่างน่าเศร้าในฟุตบอลโลก ปี 1994

 

ก่อนจะกลับไปใช้ชีวิตในบั้นปลายกับ นีเวลส์ โอลด์ บอยส์ และโบคา จูเนียร์ส สโมสรที่รักของเขา

 

และจบทุกอย่างลงในปี 1997

 

ทั้งนี้แม้หลายคนจะเสียดายช่วงเวลาในชีวิตของเขาที่ควรจะก้าวไปได้ไกลและยิ่งใหญ่ยาวนานกว่านี้ แต่สำหรับมาราโดนาแล้ว เขาใช้ทุกเวลานาทีที่มีลมหายใจอย่างเต็มที่ที่สุด

 

เล่นฟุตบอลก็เล่นให้สนุกที่สุด

 

ร้องเพลงก็ร้องให้ดังที่สุด

 

เต้นรำก็ต้องมันสะเด่าที่สุด

 

แน่นอนว่าชีวิตสุดขั้วนั้นส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเขาอย่างมาก มาราโดนาล้มป่วยหลายต่อหลายครั้ง เป็นหลายโรค และแม้จะพยายามบำบัด บำรุง และรักษามากแค่ไหน แต่ดูเหมือนร่างกายของเขาจะใช้เต็มที่มาจนเกินพอดีไป

 

ที่สุดแล้วหัวใจเจ้ากรรมของอัจฉริยะลูกหนังก็บอกว่าพอเถิด เขาใช้เวลาทำทุกอย่างเต็มที่มากพอแล้ว โลกจดจำเขาแล้ว 

 

จึงสมควรแก่เวลาแล้วที่เด็กแห่งคำทำนายจะได้หวนคืนสู่หัตถ์แห่งพระเจ้าจริงๆ

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X