เมื่อไม่นานมานี้ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เสนอแนวคิด ‘ซื้อหนี้ประชาชน’ เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินที่สะสมยาวนาน โดยภาคเอกชนลงทุนซื้อหนี้เสียจากธนาคาร แล้วให้ลูกหนี้ผ่อนชำระในยอดที่ต่ำลงและระยะเวลานานขึ้น พร้อมกับการล้างเครดิตบูโร เพื่อช่วยให้ประชาชนตั้งต้นชีวิตทางการเงินใหม่อีกครั้ง โดยไม่มีการใช้งบประมาณรัฐ
โมเดลนี้ไม่ได้ใหม่ในแวดวงการเงิน แต่เป็นวิธีที่บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ใช้ดำเนินการมานาน โดยเข้าซื้อหนี้เสีย (NPL) ในราคาต่ำกว่ายอดจริง ก่อนเจรจากับลูกหนี้ใหม่ เพื่อให้ได้ยอดเงินที่เหมาะสมและสามารถชำระได้ ซึ่งหากบริหารได้ดี ก็จะเกิดสถานการณ์ win-win สำหรับทุกฝ่าย ประเทศไทยเคยใช้โมเดลลักษณะนี้ในอดีต โดยเฉพาะหลังวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ที่เกิดการจัดตั้ง บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) และบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงไทย เพื่อจัดการกับหนี้เสียจำนวนมหาศาลและฟื้นฟูระบบธนาคาร
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในวันนี้แตกต่างจากวันนั้นพอสมควร เพราะขณะนี้หนี้ครัวเรือนไทยพุ่งสูงถึง 16.3 ล้านล้านบาท หรือราว 89% ของ GDP ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับ ‘อ่อนไหว’ ต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ และมีหนี้เสียกว่า 1.2 ล้านล้านบาท หรือ 8.8% ของสินเชื่อทั้งหมด ตัวเลขเหล่านี้จึงนำมาสู่คำถามสำคัญว่า ภาคเอกชนจะมีศักยภาพในการจัดหาเงินทุนและบริหารความเสี่ยงระดับนี้ได้จริงหรือไม่
ปัญหาที่มากกว่าแค่การ ‘ลดหนี้’
นอกจากนี้ข้อเสนอเรื่องการล้างเครดิตบูโรยังเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะแม้จะช่วยให้ประชาชนเริ่มต้นใหม่ได้ง่ายขึ้น แต่การลบข้อมูลเครดิตที่ใช้ประเมินความเสี่ยง อาจสร้างผลกระทบต่อระบบสินเชื่อโดยรวม เพราะธนาคารหรือผู้ให้กู้จะไม่สามารถประเมินประวัติการชำระเงินของลูกหนี้ได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้ต้นทุนความเสี่ยงสูงขึ้น หรือแย่กว่านั้น อาจนำไปสู่การเกิดหนี้เสียรอบใหม่ ที่สำคัญหากแนวคิดนี้ไม่ได้มีการกำหนดเงื่อนไขอย่างรัดกุม อาจนำไปสู่ปัญหา ‘Moral Hazard’ หรือความเสี่ยงเชิงพฤติกรรม ที่ลูกหนี้บางรายอาจเลือกไม่ชำระหนี้โดยเชื่อว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือในอนาคต ส่งผลให้วินัยทางการเงินของประชาชนเสื่อมถอย
การออกแบบนโยบายลักษณะนี้จึงไม่สามารถพึ่งพาเจตนาดีเพียงอย่างเดียวได้ แต่ต้องมีกรอบการกำกับดูแล การให้ความรู้ทางการเงิน และกลไกจูงใจที่รอบคอบและโปร่งใส เพื่อไม่ให้กลายเป็น ‘ยาพิษหวาน’ ที่ส่งผลร้ายระยะยาว
ความท้าทายของ AMC: ซื้อผิดชีวิตเปลี่ยน
แม้แนวคิด ‘ซื้อหนี้ประชาชน’ จะดูเหมือนเป็นทางออกที่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย แต่เบื้องหลังของการบริหารหนี้เสีย (NPL) กลับเป็นงานที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความเสี่ยง
สำหรับบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) การตัดสินใจซื้อหนี้แต่ละก้อน ไม่ใช่แค่การดูยอดเงิน แต่ต้องประเมินให้ได้ว่า จะสามารถเรียกคืนได้แค่ไหนในอนาคต ซึ่งหมายถึงการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกหนี้ ความสามารถในการจ่ายคืน สภาพเศรษฐกิจโดยรวม ไปจนถึงกฎเกณฑ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ถ้าซื้อมาในราคาที่สูงเกินไป ก็อาจสร้างความเสียหายต่อธุรกิจได้
มาตรฐานบัญชี TFRS 9 เองก็รับรู้ถึงความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่มีปัญหาด้านเครดิตตั้งแต่แรกเริ่ม จึงกำหนดแนวทางเฉพาะสำหรับการจัดการสินทรัพย์ประเภทนี้ ภายใต้แนวคิดที่เรียกว่า POCI (Purchased or Originated Credit-Impaired) ซึ่งหมายถึงสินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าตั้งแต่วันแรกที่ถือครอง ครอบคลุมสินทรัพย์หนี้เสียที่ AMC ซื้อมาบริหาร โดยกำหนดให้ต้องประเมิน ‘ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น’ หรือ Expected Credit Loss (ECL) ตั้งแต่วันแรก เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริง ไม่ให้มูลค่าถูกตีสูงเกินไป
แต่การประเมินเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอิงข้อมูลจำนวนมากและสมมติฐานที่อ่อนไหว เช่น พฤติกรรมลูกหนี้ มูลค่าหลักประกัน และแนวโน้มเศรษฐกิจ ยิ่งพอร์ตกระจายตัวสูง มีลูกหนี้รายย่อยจำนวนมาก ก็ยิ่งซับซ้อน จำเป็นต้องใช้การวิเคราะห์สถิติและคณิตศาสตร์ประกันภัย เพื่อให้ผลประเมินใกล้เคียงความเป็นจริง
ในอีกมุมหนึ่ง เมื่อหนี้ถูกโอนจากธนาคารมาอยู่ในมือของ AMC ก็หมายถึงการเปลี่ยนเจ้าหนี้อย่างเป็นทางการ ซึ่งสำหรับลูกหนี้บางราย อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของการจัดการหนี้ เนื่องจาก AMC มีบทบาทที่แตกต่างจากธนาคารทั่วไป โดยมุ่งเน้นการเจรจาเพื่อนำเงินกลับเข้าระบบให้ได้มากที่สุด การเปลี่ยนผ่านนี้จึงอาจเปิดทางให้เกิดเงื่อนไขใหม่ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายระยะเวลาชำระหนี้ การลดภาระดอกเบี้ย หรือการปรับลดหนี้บางส่วนให้สอดคล้องกับศักยภาพในการจ่ายคืนของลูกหนี้
อย่างไรก็ตาม สิทธิประโยชน์ที่ลูกหนี้จะได้รับมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับราคาที่ AMC ซื้อหนี้มาจากธนาคาร หากราคาซื้อต่ำเพียงพอ AMC ก็จะมี ‘พื้นที่’ ในการให้ข้อเสนอที่ผ่อนปรนมากขึ้น แต่ถ้าราคาสูงเกินไป ช่องว่างในการช่วยเหลือก็จะลดลงตามไปด้วย
แม้แนวคิด ‘ซื้อหนี้ประชาชน’ จะสะท้อนเจตนาที่ดีและความพยายามในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ผลลัพธ์ในทางปฏิบัติจะเป็นอย่างไร ยังขึ้นอยู่กับการออกแบบที่รอบคอบ ครอบคลุมทั้งการบริหารความเสี่ยง กลไกกำกับดูแล ความโปร่งใสในการดำเนินงาน และที่สำคัญคือ การส่งเสริมวินัยทางการเงินในระยะยาว เพื่อป้องกันไม่ให้หนี้วนกลับมาเป็นปัญหาอีกครั้ง บทสรุปของนโยบายนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่แท้จริงได้หรือไม่? คงต้องติดตามกันต่อไป
สามารถอ่านรายละเอียดหลักการคำนวณของบริษัทบริหารสินทรัพย์ในเทคนิคของ POCI เพิ่มเติมได้ที่: www.abs-valuation.com/tfrs9-ecl-poci
ภาพ: dizain / Shutterstock