วันนี้ (11 เมษายน) ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอี ได้เร่งรัดดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ โดยเฉพาะการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจและเว็บไซต์ URLs ที่มีความเกี่ยวข้องทุกรูปแบบ เพื่อตัดวงจรช่องทางการซื้อ-ขาย และการลักลอบนำเข้า ตามนโยบายของรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการปราบปราม ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง
กระทรวงดีอี ได้ดำเนินการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจและเว็บไซต์ URLs ที่เกี่ยวข้องกับ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 ถึง 26 มีนาคม 2568 รวมแล้ว 9,705 รายการ และอยู่ระหว่างรอคำสั่งศาลอีก 1,012 รายการ รวมทั้งสิ้น 10,717 รายการ
สำหรับแพลตฟอร์มที่ถูกปิดกั้นไปแล้ว 9,705 รายการ ประกอบด้วย แพลตฟอร์ม X จำนวน 9,408 รายการ, เว็บไซต์ จำนวน 238 รายการ, Facebook จำนวน 33 รายการ, Instagram จำนวน 12 รายการ และ TikTok จำนวน 14 รายการ นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการปิดกั้นกลุ่ม Facebook ที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าแล้วจำนวน 238 กลุ่ม
ขณะเดียวกัน จากการตรวจสอบผ่าน Social listening tool พบว่ามีการโพสต์ซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้า โดยเป็นโพสต์จากผู้ขายจำนวน 1,039 โพสต์ และโพสต์จากผู้ซื้อจำนวน 251 โพสต์
ประเสริฐ ย้ำเตือนประชาชนว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเยาวชน และเป็นสิ่งผิดกฎหมาย โดยผู้ที่ขายหรือให้บริการบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาเติม มีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามคำสั่งคณะกรรมการว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ ที่ 24/2567 และการซื้อหรือครอบครอง มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาสินค้านั้น หรือทั้งจำทั้งปรับ
รวมถึงการนำเข้าของที่ไม่ผ่านพิธีการศุลกากร มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับเป็นเงิน 5 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบของนั้น ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 อีกทั้งการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่สาธารณะหรือเขตปลอดบุหรี่ มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท